Australian and Briton Appear in Thai Court

เธอคือใคร

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สืบพยานผู้ออกแบบเว็บ นปช.USA ก.พ.ปีหน้า-ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องประกันตัว 'ดา ตอร์ปิโด'

สืบพยานผู้ออกแบบเว็บ นปช.USA ก.พ.ปีหน้า–ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องประกันตัว ‘ดา ตอร์ปิโด’

Mon, 2010-08-09 20:19  ประชาไท

ศาล นัดพร้อม สืบพยาน คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กรณีผู้ออกแบบเว็บนปช.ยูเอสเอ เป็นเดือน ก.พ.54 ด้านคดี ‘ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล’ ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องขอประกันตัว ชี้ข้อหาร้ายแรงเกรงจะหลบหนี

9 ส.ค.53 ที่ห้องพิจารณาคดี 913 ศาลอาญา ถนนรัชดา ผู้พิพากษาขึ้นนั่งบัลลังก์เพื่อนัดพร้อม ตรวจสอบพยานหลักฐานในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง นายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล อายุ 37 ปี เป็นจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร เป็นผู้ให้บริการจงใจ สนับสนุน ยินยอมให้มีการกระทำความผิดดังกล่าวในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุม ของตนและเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น ตามมาตรา 3, 14, 15 ของพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550

รายงาน ข่าวระบุว่า จำเลยให้การปฏิเสธในชั้นศาล และพนักงานอัยการได้ยื่นบัญชีพยานบุคคลจำนวน 12 ปาก ขณะที่ทนายจำเลยยื่นบัญชีพยานบุคคลจำนวน 6 ปาก ศาลได้นัดสืบพยานโจทก์ 3 นัด และพยานจำเลย 2 นัด หลังจากที่จำเลยได้ร้องขอให้มีการเพิ่มการนัดสืบพยานจำเลย เนื่องจากมีพยานหลายคนที่ไม่พร้อมให้การ เนื่องจากมีความวิตกกังวลว่าอาจถูกรัฐบาลเพ่งเล็งท่ามกลางการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในขณะนี้ อีกทั้งจำเลยยังเพิ่งได้พบทนายเป็นครั้งแรกในวันนี้ ศาลจึงอนุญาตให้สืบพยานจำเลยเพิ่มเติมจาก 1 นัด เป็น 2 นัด โดยกำหนดวันสืบพยานโจทก์ในวันที่ 4, 8, 9 ก.พ.2554 และสืบพยานจำเลยในวันที่ 10, 11 ก.พ.2554

ทั้งนี้ นายธันย์ฐวุฒิ หรือนามแฝง “เรดอีเกิ้ล” ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ www.norporchorusa.com และ www.norporchorusa2.com และถูก พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) พล.ต.ต.เกรียงศักดิ์ อรุณศรีโสภณ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทาง เทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) นำกำลังเข้าจับกุม เมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ห้องพักในเขตบางกะปิ กทม.พร้อมยึดคอมพิวเตอร์และของกลางหลายรายการ จากนั้นถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยไม่ได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวน

ด้านความคืบหน้าคดีนางสาว ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด ผู้ต้องโทษคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 18 ปี เมื่อวันที่ 28 ส.ค.2552 และทนายจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ในวันที่ 27 ต.ค.2552 ต่อมาทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์เมื่อวันที่ 29 ก.ค.53 โดยระบุถึงสาเหตุขากรรไกรอักเสบรุนแรง ทำให้อ้าปากได้เพียงเล็กน้อยและต้องเข้ารับการผ่าตัดในโรงพยาบาลที่มี เครื่องมือ ขีดความสามารถเพียงพอ ทั้งยังต้องพักฟื้นอีก 1-2 ปี นอกจากนี้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่มีความผิดฐานเดียวกันก็ได้รับการปล่อยชั่วคราวเรื่อยมา

อย่างไรก็ ตาม เมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยกคำร้อง โดยระบุว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีมีอัตราโทษสูง ตามพฤติการณ์แห่งคดีและลักษณะการกระทำของจำเลย กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูนและสักการะ และส่งผลกระทบกระเทือนจิตใจของปวงชนผู้จงรักภักดีอย่างกว้างขวาง จึงถือเป็นพฤติการณ์ร้ายแรง ประกอบกับศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยรวม ๑๘ ปี หากไดรับการปล่ออยชั่วคราวแล้วไม่เชื่อว่าจำเลยจะไม่หลบหนี ส่วนเหตุที่อ้างว่าจำเลยเจ็บป่วยนั้น จำเลยอาจร้องขอต่อราชทัณฑ์เพื่อไปรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลที่มีขีดความ สามารถรักษาพยาบาลอาการป่วยของจำเลยได้อยู่แล้ว จึงยังไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง”

นาย กิตติชัย ชาญเชิงศิลปกุล พี่ชายดารณี กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังที่น้องสาวซึ่งเจ็บป่วยไม่ได้รับการประกันตัว ทำให้ตนเองซึ่งอยู่จังหวัดภูเก็ตต้องเดินทางมาเยี่ยมแทบทุกอาทิตย์มาเป็น เวลา 2 ปีกว่าแล้ว พร้อมทั้งต้องฝากเงินให้ดารณีเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อนมและอาหาร อ่อนด้วย เนื่องจากดารณีอ้าปากได้น้อยมากและไม่สามารถทานอาหารที่เรือนจำจัดให้ได้ ขณะเดียวกันตนเองก็ประสบปัญหาทางการเงิน ทำให้ช่วยเหลือน้องสาวได้น้อยลงด้วย ดังนั้น หากผู้ใดประสงค์จะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในส่วนนี้สามารถโอนเงินเข้ามาได้ที่ บัญชีออมทรัพย์ ชื่อ นายกิตติชัย ชาญเชิงศิลปกุล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาถนนพูนผล เลขที่ 297-1-25805-5
--
http://www.prachataiboard1.info/board/id/50088
http://hotspotshield.com
http://99it.blogspot.com/p/blog-page_21.html
http://www.redshirtinternational.org
http://norporchorusa.com/html/media/npcusa_radios.html
http://www.unblockanything.com
http://www.youtube.com/watch?v=Dyw-L8JSE2U
http://sanamluang.tv
http://thaitvnews2.blogspot.com
http://112victims.org
http://nonlaw.7forum.net/forum-f1/topic-t1169.htm

รวมคลิปการปราศรัย พรรคเพื่อไทย จ.ราชบุรี 8 ส.ค. / เรื่องของความ 'หน้าด้าน'

วันจันทร์, สิงหาคม 09, 2010

รวมคลิปการปราศรัย พรรคเพื่อไทย จ.ราชบุรี 8 ส.ค.

ภาพโดย Speed Horse & Buddy
ไอที Fujiko
บันทึก Tuxedo
9 สิงหาคม 2553



คลิกเพื่อเข้าเมนูรวมดาวน์โหลด 2010-08-08 ราชบุรี เพื่อไทย

รายงาน "นปช.สัญจร" ที่ Marienplatz มิวนิคประเทศเยอรมนี 7 ส.ค.

โดย namping
ที่ีมา prachachon.org
9 สิงหาคม 2553

ข่าว+ภาพ ผู้มีหัวใจประชาธิปไตยและรักความเป็นธรรมจากทุกสารทิศในยุโรป และเยอรมัน ต่างเดินทางมาร่วมงาน "นปช.สัญจร" ทัวร์นกขมิ้นแดงเจ๊ดที่เมืองมิวนิค (Marienplatz) ประเทศเยอรมนี

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม เวลา 16.00น.ตามนัดหมาย Marienplatz เป็นลานกลางแจ้ง หน้าที่ว่าการกลางเมืองมิวนิค

แต่ ละกลุ่มต่างนำรถของตัวเองเดินทางมาถึงจุดนัดพบ และใช้ความสามรถของตนเป็นพลังร่วม พร้อมอุปกรณ์ที่ใช้เป็นสื่อเรียกร้องประชาธิปไตยหลากหลายตามสไตล์ไอเดียของ ตน

กลุ่มจาก Frankfurt ต่างคนต่างไป ทุกปัจเจกทำงานร่วมกันโดยใช้พรสวรรค์ของแต่ละบุคคลปฏิบัติกิจกรรมที่ตนถนัด

กลุ่ม ไรน์แลนด์ฟาลซ์ + ดึสเซลดอร์ฟ เดินทางมาสองคันรถในนามของทัวร์นกขมิ้นแดงแจ๊ด นปช.สัญจรพร้อมป้ายสี่แยกราชประสงค์, ผ้าแดงสำหรับผูก, ซีดีบอกเรื่องราวเหตุการณ์ความจริง พร้อมเอกสารกำกับภาษาเยอรมัน และไทย หน้ากาก ตีนตบฯลฯ

กลุ่มหนุ่ม ๆ มาจากเหนือสุดเมืองฮัมบวร์ก พร้อมช่างภาพมือดี และคณะตัวละครมาแสดงกลางแจ้ง

กลุ่ม นศ. หนุ่มสาวจากซาบรูกเค่น พร้อมโฆษกไฟแรงคุณภาพดี(พูดภาเยอรมัน+ไทย)

กลุ่มบาเดน บาเดน ที่เหนียวแน่นที่สุด ยืนหยัดร่วมพลังต่อต้านเผด็จการสุดชีวิต

สำคัญที่สุดคือกลุ่มเจ้าถิ่น นครมิวนิค โดยคุณนิดหน่อย และครอบครัว

ซึ่ง เตรียมขอใบอนุญาติกับทางการให้พวกเราใช้สถานที่จนถึงเวลา 19.00 น จัดเตรียมโต๊ะตั่งอุปกรณ์ป้าย, ธง นปช.ฯลฯใช้สำหรับจัดทัพริ้วขบวน

16.00 น.ทันทีที่เหล่าทีมงานมาถึง Marienplatz ธงทิวแดงก็ปลิวไสว ณ บัดดล ท่ามกลางอากาศแจ่มใสและผู้คนเดินขวักไขว่มากมาย





โฆษกอาสาสมัครมีทั้งภาคภาษาไทย/และเยอรมัน ผลัดเปลี่ยนกันถือโทรโข่ง และสนทนาส่วนบุคคลกับผู้สนใจ

ละคร จำลองภาพเหตุการณ์ "ฉันเห็นคนตายที่ราชประสงค์" มีคนสนใจมายืนชมหนาแน่นที่สุด ตัวสีน้ำเงิน กับตัวสีขาวขวางลายแดง มาจากรายการอื่น แต่กระโดดเข้ามาร่วมแสดงอย่างสมบทบาท

พวกเราถามเขาสองคนว่า "แล้วคุณเข้าใจว่าพวกเราทำอะไรด้วยหรือเปล่า"

พวกเขาตอบว่า "แน่นอน เมืองไทยเป็นที่สนใจของทักท่องเที่ยวยุโรปมาก สมัยนี้ข่าวสารบิดเบือนกันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว"







หลังการแสดงจบลงพวกเราได้รับการปรบมือกึกก้องจากผู้คน และยกกล้ามให้กำลังใจพวกเราว่า สู้ สู้ สู้ต่อไปอย่ายอมแพ้*

หลาย คนมาถามพวกเราอย่างสุภาพว่า "แล้วในฐานะคนยุโรปที่ทราบเรื่องราวจะช่วยพวกคุณอย่างไรได้บ้าง?" พวกเราก็แจ้งว่า"ช่วยกรุณาพูดความจริงต่อ ๆ ไป ให้โลกรับรู้ความจริงที่เราบอกชาวโลกวันนี้ ให้กว้างขวางที่สุด"

ทั้ง มวลคือการประกาศให้โลกรับรู้ว่า"เราเห็นคนตายที่ราชประสงค์"โดยการฆ่าของ เผด็จการ โดยกลุ่ม Thairedgermany และ กลุ่มแนวร่วมแดงทุกสายพันธ์

นปช.สัญจร ทัวร์นกขมิ้นแดงแจ๊ดจึงขอขอบพระคุณทุกมิตรร่วมการต่อสู้ ขอบพระคุณสำหรับคุณนิดหน่อยและครอบครัวที่ดูแลพวกเราจากต่างเมืองด้วยที่พัก และอาหารอย่างอบอุ่น

ขอบคุณสำหรับโฟนอินให้กำลังใจจาก นายกทักษิณ ชินวัตร นายกในดวงใจของประชาชน และ สส.จตุพร พรหมพันธ์

Thairedgermany นปช.สัญจร ทัวร์นกขมิ้นแดงแจ๊ด มีนัดต่อไปกับมิตรแดงทุกสายพันธ์ที่เมืองฮัมบวร์ก* เร็ว ๆ นี้



วันอาทิตย์, สิงหาคม 08, 2010

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ : ชาตินิยมสยาม และชาตินิยมไทย กับกรณีปราสาทเขาพระวิหารมรดกโลก

ณ ตอนนี้ ผมกำลังงงๆๆ งวยๆๆ (แกมขำขัน)กับ “ปราสาทเขาพระวิหารมรดกโลก” (ซึ่งกลายเป็นความเมืองระหว่างประเทศหลังจากประชุมที่บราซิเลียของ นรม. และกับ รมต. ของรัฐบาลไทย versus รอง นรม. และ ครม. กัมพูชา Who speaks the truth to each and their own peoples, or none at all ? ครับ หรือไม่มีใครพูด “ความจริง” ทั้งหมดกับประชาชนเลย)

“ต้นตอ” ของปัญหานี้ ขอสรุปเป็นเบื้องต้นว่า สมัยเมื่อเรายังเป็น "สยาม" กับสมัยที่เปลี่ยนเป็น "ไทย" แล้ว ความคิดความอ่านหรือ “ลัทธิชาตินิยม” และ “ความรักชาติ” ของทั้ง 2 ยุคสมัย-ต่างกันมาก ซึ่งก็จะเลยเถิดไปถึงการ “รับ” หรือ “ไม่รับ” แผนที่ “เจ้าปัญหา” แผ่นนั้น

แผนที่แผ่นนี้ มักเรียกกันด้วยชื่อผิดๆและประหลาดๆ โดยนักวิชาการ-นักการทหาร-และสื่อมวลชนฯ ว่า “แผนที่ 1 ต่อ 200,000” (หนึ่งต่อสองแสน !!!???) ซึ่งสร้างความงุนงง-มึนให้กับประชาชนทั่วๆไป

ความจริงชื่อที่แท้จริงของมันก็มี คือ แผนที่ Dangrek ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่าแผนที่ “ดงรัก” หรือ “ดงเร็ก” นั่นเอง (ที่มาภาพ)


“แผนที่ ดงรัก” ดังกล่าวนี้ รัฐบาลสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของ ร.๕ ซึ่งมีสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ (ต้นสกุลดิศกุล) เป็นมหาดไทย กับมีสมเด็จกรมฯเทววงศ์ (ต้นสกุลเทวกุล) เป็นการต่างประเทศ ได้ “รับรอง” แผนที่แผ่นนั้น และนำมาใช้ในประเทศของเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (เพราะต้องการรักษา “อธิปไตย” ของสยาม (ส่วนใหญ่) เอาไว้

ครับ ไม่รับก็ไม่ได้ เพราะสมัยนั้น คือ gunboat diplomacy/politics และนี่ก็เป็นหลักฐานหรือเหตุผลเพียงพอที่ทำให้ “ศาลโลก” ที่กรุงเฮก ในปี พ.ศ. 2505 ตัดสินด้วยคะแนน 9 ต่อ 3 ว่า “ปราสาทพระวิหาร ตั้งอยู่ในอาณาเขต ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา”)


แล้วลูกระเบิดทางการเมืองสำหรับสังคมไทย ก็ถูกวางไว้ตั้งแต่สมัยของจอมพลสฤษดิ์ ครั้งกระนั้น

ย้อน กลับไปให้ไกลใน ปวศ. อีก คือ ครั้งเมื่อ “รัฐบาลปีกขวา” ของ “คณะราษฎร” นำโดย “พิบูลสงคราม-วิจิตรวาทการ” เปลี่ยน “สยาม” เป็น “ไทย” เปลี่ยน Siam เป็น Thailand นั่นแหละ ก็ได้เริ่มกระบวนการที่จะไม่รับ “แผนที่ดงรัก” แผ่นนั้น (รวมทั้งไม่รับสนธิสัญญาสมัยสยามกับฝรั่งเศส (ร.ศ. 112) อีกด้วย) นี่ก็นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482 หรือสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

สรุป จะเห็นได้ว่าเมื่อประมาณ 100 ปีมาแล้ว รัฐบาลของรัชกาลที่ 5 ในยุคของ “ลัทธิชาตินิยมสยาม” ได้ยอมรับทั้งสนธิสัญญาและแผนที่กับฝรั่งเศส แต่ต่อมาเมื่อ 70 ปีที่แล้ว รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม (ที่ส่งทอดมายังจอมพลสฤษดิ์) ในยุคของ “ลัทธิชาตินิยมไทย” ไม่ยอมรับ

พอ มายุคสมัยนี้ ที่เราๆท่านๆ อาจถูกชี้หน้าถามว่า “เป็นคนไทยหรือเปล่า” สังคมของเราจึงยังย่ำอยู่กับ "ลัทธิชาตินิยมไทย" (ไม่ใช่ “ลัทธิชาตินิยมสยาม”) ดังนั้น ทั้งรัฐบาลปัจจุบันและพันธมิตรร่วมอุดมการณ์ (รวมทั้งนักวิชาการที่ขังตนเองอยู่ใน “เขตแดนรัฐชาติ” อย่าง ดร. อดุล-อ. ศรีศักร) ก็รับช่วงต่อๆกันมาจาก "ลัทธิผู้นำของพิบูลสงคราม-วิจิตรวาทการ-สฤษดิ์-เสนีย์" (จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม) ตกทอดกันมา ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของ “ลัทธิชาตินิยมไทย” ซึ่งถือได้ว่าเป็น “เวอร์ชันแปลง” ของ Thailand มิใช่ “ลัทธิชาตินิยมสยาม” ซึ่งเป็น “เวอร์ชันดั้งเดิม” ของ Siam

บุคคล ระดับ “ผู้นำ” เหล่านั้นไม่ว่าจะเป็น จอมพล-นายกฯ-รมต. นักการเมือง นักการทหาร นักวิชาการ (ที่จำกัดอยู่ในเขตแดนของรัฐ) นักเคลื่อนไหวมวลชน หรือสื่อมวลชนกระแสหลัก ไม่ว่าเป็นภาครัฐ หรือภาค (ที่อ้างว่าเป็น) ประชาชน ไม่ยอม “รับรู้” หรือ “ประสงค์” ที่จะรับรู้ว่า "เสด็จพ่อ ร. ๕ กับสมเด็จกรมเทววงศ์ (กต.) และสมเด็จกรมดำรงฯ" (มท.) ได้ทรงทำอะไรไว้ ได้ทรงกำหนดเขตแดน-ขอบเขต-และเส้นทางเดินของรัฐ "สยาม" กับประเทศข้างเคียงไว้อย่างไร (ที่ในช่วง “หน้าสิ่วหน้าขวาน” เมื่อประมาณระหว่าง พ.ศ. 2436-2450 (1893-1907 อันเป็นจุดสูงสุดของลัทธิอาณานิคมล่าเมืองขึ้น Height of colonialism หรือ 100 ปีมาแล้วนั้น ในห้วงเวลาที่ไม่มี “มหามิตร” ที่สยามคิด (ฝัน) ว่าจะพึ่งพาได้เข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษของพระนางวิกตอเรีย ไม่ว่าจะเป็นรัสเซียของพระเจ้าซาร์ ไม่มีองค์กรระหว่างประเทศอย่าง “สันนิบาตชาติ” หรือ “สหประชาชาติ” หรือ Unesco ฯลฯ ที่จะเข้ามาแทรกแซง) ดังนั้นจึงต้อง “จำยอม” และ “เลยตามเลย”

แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ถึง พ.ศ. 2482 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังที่กล่าวข้างต้น รัฐบาลใหม่ (ปีกขวาของคณะราษฎร)และ/หรือ “ผู้นำใหม่” อย่าง "พิบูลสงคราม-หลวงวิจิตรวาทการ" ก็เปลี่ยน "สยาม" เป็น "ไทย" เปลี่ยน Siam เป็น Thailand แล้วก็เปลี่ยนจินตนาการใหม่ และก็เริ่มสร้างปัญหาใหม่ๆ ส่งทอดต่อๆมา ผ่านนักการทหารบ้าง (อย่างสฤษดิ์) ผ่านนักการเมืองบ้าง (อย่าง ม.ร.ว. เสนีย์) ให้มาเป็นปัญหาอยู่กับเราๆท่านๆจนถึงทุกวันนี้

และ เราประชาชนไม่ว่าจะชนชั้นบน-กลาง-ล่าง ก็ต้องรับมรดกอันเลวร้ายทาง ปวศ. (บาดแผล-บกพร่อง) ที่ถูกนำมา “ปลุกผี” และ “ปัดฝุ่น” ทำให้กลายเป็นปัญหาของ "มรดกโลก" นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2551 จากควีเบ็ก ไปเซวีญา ไปบราซิเลีย และก็จะไปบาห์เรน ในปีหน้า 2554

นี่เป็น “โศกนาฏกรรมระดับชาติ” ในยุคสมัยที่เราน่าจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อสิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่า เพื่อคนรุ่นใหม่ ไปให้พ้น “อดีตเก่าๆ” ที่ “ล้าหลังและคลุ้มคลั่ง” ไปให้พ้น “ปวศ.บกพร่อง” - “ปวศ.บาดแผล” เดินไปข้างหน้า ตั้งฝันไปให้ไกล ไปให้ถึง “โลกาภิวัตน์-โลกไร้พรมแดน-และประชาคมอาเซียน”

เรา ไม่เพียงจะต้อง “ปฏิรูป-ปรองดอง-สมานฉันท์-รักสามัคคี” กันกับผู้คนในชาติบ้านเมืองของเราเท่านั้น แต่ยังต้อง “ปฏิรูป-ปรองดอง-สมานฉันท์-รักสามัคคี”กับเพื่อนร่วมภูมิภาค และมนุษยชาติร่วมโลกอีกด้วย

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

ป.ล. รัฐธรรมนูญใหม่ของบ้านนี้เมืองนี้ ถ้าไม่เป็น “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม-สยามประเทศ” ก็ “ปฎิรูป-ปรองดอง-สมานฉันท์-รักสามัคคี” กันไม่ได้

บทกวี "คือแม่ที่แท้จริง"

บทกวีโดย ดาว วัญ กุ๋ย

๑. คือแม่ที่แท้จริง
สงครามทั้งสิ้น
ให้กำเนิดนิยายพลัดถิ่นโหดร้าย
ใบไม้พรากรากเหง้าแรมรอน
จากเหงะอาน-ฮาติญ ใจกลางแผ่นดินรูปพระจันทร์เสี้ยวบิหัก

สงครามทั้งนั้น
กำหนดเข็มชีวิตลัดเลาะป่าเขาภายนอกผืนดินเกิด
ลอยคอข้ามแม่น้ำโขงละลายธารน้ำตาสู่แผ่นดินที่สามอย่างอาวรณ์

เมล็ดพันธุ์พลัดรากก่อกำเนิดในยามแผ่นดินแม่ผจญทุกข์
จากชีวิตแรก โหมด ชีวิตที่สอง ฮาย ชีวิตต่อมา บา โบน หนาม เสา ไบ่ ต่าม จิ๋น และชีวิตสุดท้อง เหมื่อย
เดือน ปี เคลื่อนผ่านความยาวนานอย่างยากลำบาก
คนไร้แผ่นดิน การหมิ่นหยามและสายลมลัทธิแตกต่าง
ในนามแม่ผู้ให้ชีวิตลูกชายหญิง
บทเพลงขับกล่อมลูกน้อยล้วนปลุกขวัญพลังใจ
ชัยชนะ ความดี ความสุข อิสรภาพ สันติภาพ ตะวันแรก ปราดเปรื่อง เกียรติภูมิ พิสุทธิ์ เอกราช
รหัสนัยแห่งนามทั้งสิบลูกหลานโฮ่จิมิญ
ยังผูกโยงดวงใจอยู่กับการต่อสู้ผู้รุกรานและอยุติธรรม
แม้ความหวังร่วงโรย ล่วงเลยผ่านหน้าอย่างเย็นชาเพียงลำพัง

แม่เพียงคนเดียว
มิได้กลับคืนมาตุภูมิรูปพระจันทร์เสี้ยวริมเสียงคลื่นพร้อมตายาย น้าชายและน้าหญิง
แม่เพียงคนเดียว
แบกความฝันแห้งเหี่ยว ดิ้นรนอยู่กับทุกข์ระทมและปากท้องเมล็ดพันธุ์พลัดรากทั้งสิบ
แม่เพียงคนเดียว
จิตใจแข็งแกร่งบนดวงหน้าโอบอ้อมอารี
คล้ายแววตาดวงดาวลุงโฮ่จิมิญในกรอบรูปติดผนังบ้านเหวียตเกี่ยว*
แม่เพียงคนเดียวของฉัน
แม่เพียงคนเดียว...เท่านั้น

๒. และแม่ที่แท้จริง
ไวน์ขวดหนึ่งกักเก็บแม่น้ำทั้งสายไว้
เครื่องประทินกายล้วนหยาดเหงื่อความศรัทธา
ประดับประดาอัญมณีเม็ดโตซึ่งมิใช่ของใคร

ใบไม้บนดอยสูงย่อมแตกสีสัน
เย็นชื่น เบ่งบานดอกในอุทยานกว้างใหญ่
งานการที่ทำสิ่งแรกในวันอันเร่งรีบคือ นอน และ นอน
เขียนหน้าทาปากขณะคิดคำนวณเมล็ดพันธุ์ผลผลิตที่มิเคยหว่านดำ
ตามความพึงพอใจบรรจุซองสีเงินหลังฤดูเก็บเกี่ยว

หยิบยืมมือเหี่ยวย่น
ถักสานเครือข่ายสูบเลือดหยาดหยดเพื่อชุบชูชีวิตอันเป็นนิรันดร์
ดอกไม้กลิ่นหอม
เป็นแต่มลทินแปดเปื้อนมาลัยมาลี
จากใจบริสุทธิ์ระลึกบุญคุณอันใหญ่หลวง
หรือบันทึกกรรมเวรลอยเด่นบนใบหน้าขาวโพลนล้นพ้นอยุติธรรม
มุมมองย่อมแตกต่าง
ฟ้ากับดิน

*เหวียตนามพลัดถิ่น เรียกตัวเองว่าเหวียตเกี่ยว
( อาจเป็นที่มาของคำว่า “ แกว ” ที่คนไทย,ลาว บางพวกใช้เรียกคนเหวียตนาม )

วันเสาร์, สิงหาคม 07, 2010

น้องเดียร์วอนหยุดใส่ร้ายเสธ.แดง:คนตายจะสั่งก่อการร้ายได้ไง


โดย นกไฟ
8 สิงหาคม 2553

เมื่อ วานนี้(7 สิงหาคม )นางสาวขัตติยา สวัสดิผล ""น้องเดียร์" ลูกสาว"เสธ.แดง"พลตรีขัติยะ สวัสดิผล ได้เดินทางลงใต้เยื่ยมแฟนคลับของคุณพ่อ พร้อมประกาศจุดยืนสานงานของพรรคขัตติยธรรมว่าจะยังคงอยู่และสู้ต่อไป


เธอ กล่าวกับผู้สนับสนุนว่า ที่ผ่านมามีแต่ข่าวด้านลบทั้งตัวเองและพ่อ โดยเฉพาะการจับกุมบุคคลต่างๆแล้วเชื่อมโยงกับเสธ.แดง ขอยืนยันว่าเป็นการถูกใส่ร้าย ตอนนี้ตัวเองเดินตามรอยพ่อชัดเจน ขอขอบคุณทุกกำลังใจจากชาวเสื้อแดง ทั้งไม่หวั่นจะถูกโจมตีว่าแย่งมวลชนของพรรคเพื่อไทย เพราะจะชูนโยบายของพรรคตัวเองเป็นหลักอยู่แล้ว แล้วให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจ

น้องเดียร์ได้วิงวอนผู้เกี่ยวข้องหยุดใส่ร้ายพ่อของตนเองได้แล้ว คนตายไปแล้วจะสั่งการให้ใครทำอะไรได้อย่างไร

ทั้ง นี้DSIได้จับกุมผู้ต้องสงสัยหลายรายแล้วอ้างว่ามีความเชื่อมโยงกับเสธ.แดง โดยอ้างว่าเป็นมือขวาบ้าง เป็นมือซ้ายบ้าง หรือเป็นทีมงานเสธ.แดงบ้างก่อการวินาศกรรม หรือการก่อการร้าย แต่ผู้ต้องสงสัยทั้งหมดล้วนให้การปฏิเสธ

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเอง ณ โรงแรมฮอลิเดย์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา



ปล.หนังสือไฮแลนด์นิวส์ ฉบับ พีเพิลแชนแนล เล่มที่ 2 ออกจำหน่ายแล้ว งานนี้ได้น้องเดียร์เป็นพรีเซ็นเตอร์ ติดต่อซื้อหนังสือ 02-934-8877


ติดตามข่าวเพิ่มเติม:โทรทัศน์เอเชียอัพเดตสัมภาษณ์ “น้องเดียร์”วอนให้หยุด ปรักปรำบิดา

เรื่องของความ 'หน้าด้าน'

โดย คุณป้าปากเกร็ด
ที่มา เวบบอร์ด internetfreedom
7 สิงหาคม 2553

อาการหน้าด้านหน้าทน เดี๋ยวนี้เป็นกันมาก อาจเพราะเรามีผู้บริหารที่หน้าด้านสุดๆ คนเลยนึกว่าถูกต้อง ที่จะกลายเป็นคนหน้าด้าน จึงเห็นคนหน้าด้านทั่วบ้านทั่วเมือง

เริ่มตั้งแต่การที่ออกมาบอกว่า"ผมมาโดยถูกต้องตามระบอบรัฐสภา เพราะคนในสภา โหวตให้ผมเป็นนายกฯ" ทั้งๆ ที่ไม่ได้ชนะเลือกตั้ง

หน้าด้านลอกนโยบายเขามาแล้วไม่ยอมรับ ตีกินเอาเป็นผลงานของตน

หน้าด้านที่ กลืนน้ำลายตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า พูดออกมาว่า"ไม่ว่าจะ 1 คน หรือแสนคน ต้องฟังเขา" นี่ออกมาเป็นล้าน นอกจากไม่ฟังยังเอาทหารมาล้อมปราบ ฆ่าคนตายเกลื่อนเมือง แต่กลับหน้าด้านบอกว่าไม่มีคนตาย (แรกๆ ว่างั้น) พอศพมันเกลื่อนกลับบอกว่ายิงกันเอง

หน้าด้านที่ บอกว่า "การทำร้ายประชาชน ไม่สมควรนั่งอยู่บนเก้าอี้" แล้วยังถามอีกว่า "เป็นคนหรือเปล่า?" แต่มันฆ่าแล้วยังลอยหน้าอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่

ล่าสุดมีกลุ่มคนที่หน้าด้านอย่างไม่อายฟ้าดิน อ้างความรักชาติ ออกไปทวงแผ่นดิน (ที่ไม่ใช่ของตัว)คืน

เรื่องเขาพระวิหาร ออกมาโวยวายว่าต้องเอาพื้นที่คืน บ้าหน้าด้าน ใครๆ ก็รู้ ว่าเราพ่ายแพ้ในระดับศาลโลก ถูกตัดสินว่า พระวิหารเป็นของกัมพูชา มาตั้งแต่ พ.ศ. 2505 นี่ก็ผ่านมาเกือบ 50 ปีแล้ว ยังหน้าด้านโวยวายจะเอาคืน ปลุกกระแสความรักชาติบ้าๆ บอๆ โดยลืมไปว่า คนเขาไม่ไปร่วมด้วย เพราะ เขาอาย อายที่จะเป็นคนหน้าด้านที่จะไปทวงสิทธิ์ที่ไม่ใช่ของตัว

ก็ขนาดแค่ออกไปทวงสิทธิ์เลือกตั้ง ยังถูกยิงหัวแบะ แล้วออกไปทวงสิทธิ์ ที่ไม่ใช่ของตัวเช่นพระวิหาร ใครเขาจะไป แต่รัฐบาลหน้าด้านก็ออกมารับลูกอย่างดี ถ้อยทีถ้อยอาศัย คงเพราะหน้าด้านระดับเดียวกัน

หน้าด้าน แก้ผ้าโชว์ ก็ทำกันอย่างไม่อับไม่อาย

หน้าด้านที่จะแสดงออกว่า แยกไม่ออกระหว่างดีกับชั่ว เห็นผิดเป็นชอบ กงจักรชัดๆ ดันเห็นเป็นดอกบัว ชื่นชมคนเลวจนออกนอกหน้า

อย่างนี้ไม่เรียกว่า หน้าด้าน จะให้เรียกว่าอะไร

--------------------------------------------------------------------------------
ชาติคือประชาชน ใช่เพียงคนไม่กี่คน ฉะนั้นด่ามันอย่ามาหาว่าด่าชาติ



--
http://www.unblockallweb.com/
http://downmerng.blogspot.com
http://picasaweb.google.com/prainn999/14255302# ทัพผ่านฟ้าสู่ราชประสงค์ วันที่ 14 เมษายน 2553
http://www.unblockallweb.com/index.phpq=aHR0cDovL2Rvd25tZXJuZy5ibG9nc3BvdC5jb20%3D&hl=3e8
http://www.112victims.org/
http://www.thaifreenews.org/
http://friendfeed.com/
http://chirpcity.com/bangkok/3
http://www.radaroo.com/
http://factsforthais.blogspot.com/2009/05/7.html
http://tv.kapook.com/nbt.php
http://friendfeed.com/antactica
block
http://www.ustream.tv/channel/redheart
http://redpower-sm-germany.com

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

รู้จัก"ธิดา ถาวรเศรษฐ์" กุนซือนอกคุก


รู้จัก“ธิดา ถาวรเศรษฐ์” กุนซือนอกคุก

ที่มา โพสต์ทูเดย์ โดย-ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

ธิดา ถาวรเศรษฐ์

รับบทหนักคอยประสานแกนนำนปช.ในเรือนจำเพื่อต่อสู้คดีก่อการร้าย
รวมถึงปัญหาจุกจิกสารพัดทั้ง อาหารการกิน กำลังใจ ระหว่างเยี่ยม

“ธิดา ถาวรเศรษฐ์” ไม่ใช่แค่ศรีภริยารุ่นเดอะ จากภาพที่เห็นเดินตาม
นพ.เหวง โตจิราการ ต้อยๆ
แต่บทบาทลึกของเธอเป็นทั้งแกนนำนปช. เป็นองค์ความรู้ขององค์กรเสื้อแดง
เป็น “ครูใหญ่โรงเรียน นปช.” และเป็นคนเดือนตุลาที่เจ้าตัวยอมรับตรงๆเคยเป็นคอมมิวนิสต์มาก่อน

หลังแกนนำถูกคุมขังเกือบสองเดือน
ภารกิจประจำวันของธิดาจึงต้องหมุนเวียนเปลี่ยนตาม
เธอออกจากบ้าน 9 โมงครึ่งทุกวัน เพื่อไปเยี่ยม “หมอเหวง” สามีคู่ทุกข์คู่ยาก
และเหล่าแกนนำที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ

“ตอนนี้หมอเหวงเขาทำใจอาจต้องติดยาวหลายสิบปีและคิดว่า
รายการนี้ไม่หมู นี่อย่าคิดว่าเป็นเรื่องตลกนะ คดีก่อการร้ายมันเป็นเรื่องที่เขาเอาจริง
ทั้งที่มันเป็นนิยายชวนหัวที่แต่งขึ้นให้สมจริง”

“เวลาคุยกับหมอเหวงส่วนใหญ่ได้คุยเพียงไม่กี่นาที
เพราะมีมวลชนมาเยี่ยมเยอะ เราจะพูดเรื่องการต่อสู้คดี
เพราะเรา 11 คน(แกนนำและการ์ดนปช.ในคุก) ความคิดอาจจะต่างกันบ้าง

อีกเรื่องคือ เล่าข่าวให้เขาฟัง หรือมีอะไรที่พวกเขาคุยกัน ก็มาบอกเรา เช่น
อยากให้ทนายทำอะไรบ้าง เนื่องจากนปช.มีปัญหาถูกดำเนินคดีมาก
เราจึงต้องการความช่วยเหลือที่มากมาย ทนายจำนวนหนึ่งอาจคิดไตร่ตรองไม่รอบคอบ
พี่เลยแนะนำให้เปิดโอกาสให้ลูกความคุยด้วย”

สนทนากันที่ “คลีนิครัชดา” ของ “หมอเหวง” ย่านเกษตร ในวันที่ดูเงียบเหงา
แม้แต่ธิดาเองก็บอกว่าเจ้าหน้าที่บางคนที่เคยมาช่วยงานคลีนิค
พอหลังเหตุชุมนุมจบลง ยังไม่กล้ามาเพราะกลัวบรรยากาศการไล่ล่า

สำหรับคดีก่อการร้ายที่ดีเอสไอจะส่งฟ้องแกนนำสิ้นเดือนนี้ เธอว่า
แกนนำทำใจแล้วว่าคงไม่ได้รับความเป็นธรรม และคดีนี้ก็ฟังไม่ขึ้น

นโยบายนปช.เน้นสันติวิธี
หากย้อนไปดูช่วงชุมนุมก็จะเห็นว่า “หมอเหวง”ยังโจมตี
คนที่ใช้อาวุธที่จะเข้ามาในม็อบด้วย

“หมอเหวงยังบอกว่า ถ้าตำรวจมาจับก็จับไปซิ จนหลายครั้งพี่ยังเคยบอกว่า
คุณพ่อต้องระวังนะ คุณจะโดนยิงหัวก่อน จากพวกกันเองนี่แหละ
แกนนำทั้งหมดจริงๆแล้ว ไม่ต้องการให้มีกองกำลังอาวุธอะไรเข้ามาแอบแฝงอยู่
เพราะมันจะทำให้พวกเขาลำบากมาก ตอนนั้นเราไล่จริงๆ ด้วย
บางคนก็บอกว่า ถึงไล่กูก็ไม่ไป (หัวเราะ)เขาพูดอย่างนี้กันเลย
จำนวนหนึ่งที่เราได้ยินนะ และจริงๆ ก็เป็นอย่างนั้น”

“ก่อการร้าย”นิยายชวนหัว

แกนนำนปช.สายพิราบผู้นี้ บอกว่า บางเรื่องไม่อยากพูดถึง
เพราะเกี่ยวข้องกับคนที่เสียชีวิตไปแล้ว
แต่หากจะสรุปบทเรียนให้ขบวนการเดินไปข้างหน้าก็จำเป็นต้องพาดพิงบ้าง

“สิ่งที่เขาเคยพูดเรื่องแก้วสามประการ มีกองกำลังอาวุธ มันไม่ใช่แนวทางของเรา
นั่นเป็นเรื่องปฏิวัติ นี่เป็นคำพูดแบบคนที่ไม่รู้เรื่อง ไม่เคยผ่านการต่อสู้มาก่อน
คุณจะเอากองกำลังอะไรมาสู้กับ กองกำลังอาวุธของรัฐบาล
คุณจะต้องใช้ทหารขนาดไหน
คุณพร้อมหรือที่จะไปทำแบบพวก 3 จ.ภาคใต้ แล้วใครจะมายืนอยู่เคียงข้างคุณ
ฉะนั้นเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ
มันเป็นเรื่องของคนที่ต้องการสร้างความสำคัญจึงพูดขึ้นมา และ
คนที่ไม่รู้เรื่องบางคนอาจจะขานรับ ทำให้คนสงสัยขบวนการของคุณ”

“แกนนำอย่างเต้น (ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ)หรือ ก่อแก้ว (พิกุลทอง)ก็มีลูกเล็กๆ
เขาไม่พร้อมต่อสู้ด้วยอาวุธ หมอเหวงก็เหมือนกัน มีคลินิคที่ต้องดูแล
ถ้าคนที่จะต่อสู้ด้วยอาวุธก็ต้องเป็นอีกแบบ ไม่ใช่แบบนี้
และพวกเราบางส่วนก็เคยผ่านการต่อสู้ด้วยอาวุธในป่ามาแล้ว ยิ่งปฏิเสธทุกคนเลย
เรารู้ว่า การต่อสู้ด้วยอาวุธนั้น คืออะไร
เราผ่านมาแล้ว รู้ว่า แต่นี่มันไม่ใช่
มันอาจมีผู้ถืออาวุธจำนวนหนึ่ง
ที่ไม่เคยผ่านการต่อสู้กับภาคประชาชน ต้องการให้ค่าตัวเองขึ้นมา”

อดีตที่เป็นคนเดือนตุลาเข้าป่ามา 8 ปี ธิดา บอกว่า
ช่วงนั้นได้เรียนรู้เรื่องสำคัญในป่ามากมาย
โดยเฉพาะการอยู่ร่วมประชุมเรื่องใหญ่ๆในสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ที่สุดในป่า
จนมาถึงการร่วมประชุมแกนนำนปช.ก็ได้แสดงจุดยืนในมติสำคัญ
แม้ได้เตือนไปหลายเรื่อง แต่หลายคนก็ไม่เชื่อ


“พี่พูดในเชิงหลักการถึง
ปัญหาแนวคิดเรื่องการยุติ การชุมนุม และการมองขบวนเราอย่างไร
เราต้องยืนหยัดในสิ่งที่ถูก ถ้าเราไปปล่อยให้มีสิ่งที่ไม่ถูกต้องเข้ามา
แม้แต่เพียงนิดเดียว เราจะเสียทั้งหมด ฉะนั้น เราจึงไม่อนุญาตให้สิ่งที่ผิดเข้ามา
ส่วนคุณจะไปทำอะไรที่ไหน ไปรับฟังแล้วไม่มาแก้ปัญหา มันไม่ได้”

เธอเล่าว่า ภายในแกนนำ นปช. มีการต่อสู้ทางความคิดสูงมาก
ปีกหนึ่งที่ถูกมองว่าเป็นสายเหยี่ยว “แรมโบ้- กีร์” ที่หนีลับ กับ
ปีกคนเดือนตุลา “เหวง- วิสาร –จรัล”
ซึ่งผ่านการต่อสู้ในป่ามาก่อน ดังนั้น การจะคุยกันให้เป็นเอกภาพจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

“เรายิงคำถามกันว่า คุณเป็นอะไร เป็นนักปฏิวัติหรือ เป็นนักต่อสู้ในระบบ
เราไม่ใช่นักปฏิวัตินะ ฉะนั้นไอ้ทฤษฎีแก้วสามดวง อย่าไปให้โกหกใส่ แล้วไปเชื่อ
พี่ก็พูดในโรงเรียนนปช.ตลอด และที่ประชุมแกนนำ
เมื่อมีโอกาสก็พูดทุกครั้งว่า อย่าไปเข้าใจผิด คนที่ถืออาวุธบางคน หรือ
จำนวนหนึ่งต้องการสร้างความสำคัญให้กับตัวเองว่า ในขบวนต้องมีพวกเขานะ
เราบอกว่า ไม่เห็นต้องการเลย ไปเลย ไปไกลๆ ตำรวจจะมาจับ ก็มาจับเลย”

แต่ฝั่งนี้ก็อ้างมาจากคุณทักษิณสั่ง? ...”เราไม่รู้จริง
เพราะขนาดเสธ.แดงพูดครั้งหลัง เขายังบอกเลยว่า เขาพูด
แต่คุณทักษิณฟังเฉยๆ คือ ขณะนี้อีกคนอยู่ต่างประเทศ อีกคนตายไปแล้ว
แล้วเราจะไปว่าใคร อาจจะไม่ใช่เสธ.แดงคนเดียวก็ได้ อาจมีคนอื่น ที่เราไม่รู้
แต่พูดตรงๆ พวกเราไม่เกี่ยว
ดังนั้นแม้ดีเอสไอจะสร้างนิยายก่อการร้ายขึ้นมาอย่างไร
ความเป็นจริงมันไม่มี

ธิดาวิพากษ์ตรงๆ การที่นปช.ถูกมองว่า มีทั้งสายเหยี่ยว สายพิราบ หรือ
พวกหัวดื้อในหมู่แกนนำแม้เป็นความหลากหลาย แต่กลับเป็นจุดอ่อนมาก

“เดิมเรานำโดยสามเกลอ ต่อมาขยายใหญ่ เป็นการนำรวมหมู่ ซึ่งก็มีข้อเสีย
เพราะเรามาจากคนละทิศกัน
พี่ก็ว่าเขาทำไมพวกคุณ(แกนนำ) ไม่เข้าโรงเรียนนปช.เหมือนประชาชนบ้าง
แต่นี่ก็เหมือนนักเกเร มีข้อแก้ต้วไปเรื่อย”

นปช.เรามีระเบียบ มีวินัยเพราะตลอดเวลา
กระจกที่เซ็นทรัลเวริด์ก็ไม่มีรอยถลอก
แต่พอหลังจากหมดการควบคุมของแกนนำเท่านั้นมันก็จบ
อย่างที่บอก มันไม่ใช่เรื่องง่าย ขบวนการนี้มาจากมวลชนที่เป็นเสรีชน
กลุ่มต่างๆ มาจากหลายพวก
การจะทำให้เกิดเอกภาพ การมาด้วยกันก็ไม่ใช่ง่าย ที่ยากที่สุดคือ
ตอนให้สลายนี่แหละ มีคนพร้อมที่จะเทคโอเวอร์เลยนะ
ตอนนั้นหล่ะ นอกจากนั้นก็อาจจะมีพวกหนึ่งแตกไปเห็นด้วยก็ได้
และคุณจะปล่อยให้เหตุการณ์เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร”

บทเรียนเสื้อแดง “ใหญ่แต่ขาดเอกภาพ”
อย่างไรก็ตาม ธิดา มองว่า ในความพ่ายแพ้ของเสื้อแดงก็มีชัยชนะ
เหตุการณ์สงกรานต์เลือด มีคนบอกว่า เสื้อแดงพ่ายแพ้
ที่สุดคนเสื้อแดงก็เติบใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน แต่ความเติบใหญ่จนมากเกินไป
ก็เกิดจุดอ่อน

“เป็นการเติบใหญ่ที่ขาดประสิทธิภาพและขาดเอกภาพ กระทั่งเราไม่สามารถยกระดับ
แม้แต่แกนนำด้วยกันให้ทันกับงานที่มากขึ้น
เราไม่ได้ผ่านการตระเตรียม มารับผิดชอบขบวนการประชาชนที่ใหญ่โตขนาดนี้

นี่จึงเป็นบทเรียนที่พี่บอกว่า แม้เราพยายามทำ แต่มันยังเป็นสไตล์แบบ...
พวกเขามาจากพรรคการเมือง นายทุนทั้งนั้นเลย ไม่พร้อมจะเป็นนักต่อสู้”

“แต่ทั้งหมดเสื้อแดงต้องเดินต่อ และนำด้วยแนวทางนโยบาย
แกนนำคนไหนที่ไม่ยึดกุมนโยบาย แม้จะชื่อว่าเป็นแกนนำ
แต่จริงๆ ไม่ใช่ ตรงนี้มันต้องหลุดไป เพราะเราได้สัมมนาพอควรแล้วว่า
เราจะยืนตามนี้ นำด้วยแนวทางนโยบายซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่า ถูกต้อง
แต่ภาวะการนำอาจจะผิดพลาดหรืออาจจะไม่ดีพอ
แต่ถ้าเปลี่ยนจากแนวทางนี้ เช่น
เราต้องการระบอบประชาธิปไตย อีกคนมาบอกว่า ไม่เอา จะเป็นสาธารณรัฐ
ถามว่า คนเสื้อแดงเอาไหม ก็ไม่มีใครเอา
หรือคุณบอกว่า ผมไม่เอาแล้วสันติวิธี ผมมีกองกำลังอาวุธ
อาจจะมีคนส่วนหนึ่งเชื่อคุณ แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่เอากับคุณ”

ครูใหญ่นปช. บอกว่า การปรับขบวนข้างหน้า เสื้อแดงต้องหดด้านแพ้ ขยายด้านชนะ
และก็จะเกิดการพ่ายแพ้แบบใหม่ และชัยชนะแบบใหม่ เชื่อว่า
ยุทธศาสตร์ของเสื้อแดงที่ผ่านมาถูกต้อง แต่ต้องคิดในสิ่งที่เป็นจริง
อย่าทำอะไรเกินกว่าที่สังคมไทยเป็นอยู่ ควรเอาทีละขั้น
ประเทศพร้อมตรงไหนเอาตรงนั้นก่อน ส่วนยุทธวิธี อาจอ่อนด้อยผิดพลาดบ้าง
แต่อย่าคิดว่า ขังแกนนำแล้วการต่อสู้จะยุติ
การนำชุดใหม่ก็ต้องเกิดขึ้น อาจมีการเปลี่ยนผู้นำก็ได้

ชะตากรรม “หมอเหวง”-ชะตากรรมประเทศไทย

คำถามที่ว่า ทำใจได้ไหมถ้า “หมอเหวง” ติดคุก 10 ปี
กุนซือเสื้อแดง ย้อนกลับให้เราคิด
“คำถามนี้ต้องมาตั้งคำถามกับประเทศไทยว่า
เรายอมทำใจได้ไหมให้ประเทศไทยเป็นอย่างนี้
สมมติหมอเหวงติดคุก 30 ปี คุณต้องตั้งคำถามกลับว่า
แล้วสังคมไทยขณะนั้นจะเป็นอย่างไร
คนไทยจะยอมให้ความอยุติธรรมแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อีกหรือ
วันนี้ชะตากรรมหมอเหวงผูกกับชะตากรรมประเทศไทยไปแล้ว”


คณะกรรมการที่รัฐบาลตั้งขึ้นไม่ว่าชุดปรองดองหรือ ปฏิรูปประเทศ
เธอยอมรับ สนิทกับอานันท์ ปันยารชุน และ นิธิ เอียวศรีวงศ์ สองคนนี้ถือว่า
เสี่ยงที่เข้าไปเป็นกรรมการปฏิรูป
สำหรับ นิธิ คงต้องการให้โอกาสรัฐบาล ก็เลยเข้าไปร่วม
แต่เชื่อว่า คณะกรรมการชุดนี้คงทำอะไรไม่ได้

“อาจารย์นิธิและเสกสรรค์ เสี่ยงทั้งนั้น แต่นิธิคุณอานันท์เขาชอบพี่นะ
คุณอานันท์ หมอประเวศ อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เขาก็ให้เกียรติพี่อย่างดี
เวลาคุยอะไรกันเพราะเขารู้ว่าเราเป็นอย่างไร
แต่คนอื่นเขาไม่รู้นึกว่าเราเดินตามหมอเหวง แต่บอกได้ว่า
ประเทศไทยตอนนี้กำลังจะตาย หัวใจกำลังหยุดเต้น
แต่เขากลับวินิจฉัยโรคผิด ให้ยาผิด ไปแก้ปัญหาน้ำหนักเกินเพราะคิดว่า
เป็นปัญหาของหลายโรค เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ
แต่วิกฤตการเมืองที่เป็นโรคเฉียบพลัน จะมาแก้ปัญหาเหลื่อมล้ำไม่ได้
ต้องแก้ที่เลิกพรก.ฉุกเฉิน
เพราะรัฐบาลกำลังไล่ล่าคนที่เห็นต่างให้เป็นผู้ก่อการร้าย ล้มเจ้า
ต้องเปิดสื่อให้เขามีความเห็นอิสระในขอบเขตกฎหมาย”

“วันนี้ประชาชน เขาต้องการความเป็นธรรมทางการเมืองก่อน
จากนั้นถึงค่อยยุบสภา
เพราะเขาเดินขบวนมาเรียกร้องเรื่องนี้ ไม่ได้มาทวงเรื่องความยากจน
ส่วนปัญหาโรคอ้วนมันต้องใช้เวลาอีกยาว
แค่มาบตาพุดคุณยังตัดสินไม่ได้ เรื่อง 3 จี ประเทศลาวก็มีแล้ว”

ในอนาคต ขบวนเสื้อแดงจะปรับตัวอย่างไร?....“
อย่าถามว่า คนเสื้อแดงจะปรับตัวอย่างไร
หรือ มอบชะตากรรมประเทศให้คนเสื้อแดงฝ่ายเดียว ต้องถามว่า
คนเสื้อขาวและสังคมไทยจะทำอะไร
คุณจะปล่อยให้คนเสื้อแดง เสื้อเหลือง รบกัน แล้วคุณนั่งอยู่เฉยๆ แล้วให้ประเทศพังหรอ

สังคมต้องสรุปบทเรียนคุณต้องรู้ว่า
การที่เราเข้ามาอยู่ในกรุงเทพได้นานแสดงว่า คนกรุงเริ่มให้พื้นที่คนเสื้อแดงมากขึ้น

“ใครก็ตามที่เป็นรัฐบาล ไม่ว่าเสื้อเหลือง เสื้อแดง หรือ คุณทักษิณ
จะทำอะไรที่เกินกว่าความเป็นจริงของสังคมไทยนั้น ไม่ได้
คุณมีสิทธิ์จะคิด จะฝัน ไม่ว่าอภิสิทธิ์ ทักษิณ หรือ ป๋า เสื้อแดงก็เหมือนกัน ถึงจะคิดฝัน
แต่ถ้ามันไม่สอดคล้องความเป็นจริง ซึ่งมันมีสามด้าน
ด้านฝั่งตัวเอง ฝั่งที่เป็นผู้ปฏิปักษ์ และ ด้านที่ไม่ได้อยู่ข้างไหน
ในส่วนของเสื้อแดง คุณมีศักยภาพแค่ไหน รัฐบาลมีแค่ไหน หรือ เสื้อเหลืองมีแค่ไหน
ก็ต้องคิดกัน สมมติว่าเสื้อแดงคุณหวังจะยึดประเทศ ฝั่งฮาร์คอร์น่ะ ทำได้หรอ (เสียงเข้ม)
คุณอยากทำหล่ะ เราก็รู้ ใครก็อยากได้ และทำได้ไหม จริงไหม
หรืออีกฝั่งคิดจะทำลายคนเสื้อแดง คุณทำได้ไหม
คุณจับแกนนำไปขังแล้วเสื้อแดงจะราบคาบหรือ มันอาจจะตรงข้ามนะ
แล้วคุณไม่คิดหรือว่า เขามีแกนนำคนอื่นอีก”

“ดังนั้น สังคมต้องเลือกว่า จะให้ประเทศไปทางไหน
ในส่วนของคนเสื้อแดงต้องทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจ คนเสื้อเหลืองก็เหมือนกัน
ถ้าคิดว่าถูกก็ต้องทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่า ตัวเองถูก
ไม่ใช่ใช้กำลังบังคับ เอาปืนไปจี้หัว เอารองเท้าบู๊ตไปเหยียบปากเขาไว้
ถ้าถามพี่ พี่ต้องการแบบนั้น ไม่ได้ต้องการกองกำลังอาวุธมาล้ม
เพราะรัฐบาลเขามีกองทัพ มีกองกำลังมากกว่า
คุณสู้เขาไม่ได้ สู้ชนะใจประชาชนดีกว่าเพื่อให้เห็นว่า ประเทศต้องพัฒนา
มิฉะนั้น เราไม่มีทางตามทัน”

เธอสรุปว่า
ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลง วันนี้รูปการณ์จิตสำนึกที่ครอบงำสังคม เป็นอนุรักษ์นิยม
โครงสร้างชั้นบนของสังคมที่ยังล้าหลัง
และนี่คือตัวขัดแย้งที่ทำให้ประเทศก้าวต่อไปไม่ได้ตรงนี้ต้องมีการปลดปล่อย

เอ็กซเรย์หัวใจแกนนำในคุก

ความเครียดที่แกนนำเสื้อแดงต้องใช้ชีวิตในคุก ไม่รู้ว่าจะถูกจองจำอีกนานแค่ไหน
หลายคนต้องปรับตัวหากิจกรรมทำเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางจิตใจ
ธิดา ถ่ายทอดภารกิจผู้ประสานงาน “แม่บ้านนอกเรือนจำ” ให้ฟัง

“ภรรยาบางคนอย่างแก้ม (ภรรยาณัฐวุฒิ) เขาก็มีลูกเล็ก
แต่เขาก็ช่วยเรื่องฝากของ
แต่บางคนเขาอยู่ไกล อย่างภรรยานิสิต ขวัญชัย อยู่ต่างจังหวัด
บางรายก็มีภรรยาหลายคนก็ไม่เป็นอันยุติ (หัวเราะร่วน)
พี่ต้องเดินเข้าไปบอกเขาเหมือนกันว่า (ทำเสียงกระซิบ)….
‘คุณอาจมีปัญหาเพราะมีคนอ้างเป็นภรรยา 5 คน’
หรือ บางคนก็มีปัญหาส่วนตัวกันบ้าง
เราก็บอกอย่าไปคิดมาก เขาอยู่ข้างใน ไม่ต้องห่วงหรอก เขาไปหาใครไม่ได้(หัวเราะ)”
สำหรับชีวิตแกนนำโดยเฉพาะ “หมอเหวง” ไม่ได้เครียดเหมือนที่เป็นข่าว
เพราะแดน 6 ที่อยู่เป็นแดนแห่งเสียงดนตรี

“หมอเหวงอยู่มีดนตรีนับว่าโชคดี
เขาเลยถือโอกาส ฝึกกีตาร์จนนิ้วโป่ง เนี่ยโชว์นิ้วให้เราเห็น
ตอนไปเยี่ยม สมชาย ไพบูลย์ (แกนนำนปช.) ที่อยู่ด้วยกันก็เลยช่วยกันแต่งเพลง
ณัฐวุฒิอยู่แดนอื่นก็ตามมาขอร้องเพลงบ้าง
คุณวีระแกก็บอกว่า แหม..อยากจะขอมาตีฉิ่งฉับด้วย
แต่วีระกับณัฐวุฒิส่วนใหญ่จะซ้อมมวย
สองคนนี้เขาชอบ เอากางเกงนักมวยไปซ้อมจริงกับผู้ต้องขังคนอื่น”

“คุณหมอไม่ได้เครียดประเภทอ่านหนังสือจริงจังเหมือนที่ข่าวลง
แต่เขาเล่นดนตรีหนักมาก ก็มีคนฝากของกินไปให้
แต่หมอเหวงบอกไม่ไหวเดี๋ยวจะอ้วนเพราะที่นั่นพอบ่าย 2 ต้องขึ้นห้องขัง
แต่หมอเหวงเขาไม่เดือดร้อน เพราะเขาไม่กินอะไร”

ธิดาเล่าปนขำว่า ฝากหนังสือให้หมอเหวงอ่าน เช่น
สามก๊ก หนังสืออัตชีวประวัติ
แต่บางเล่มไม่กล้าฝาก กลัวจะมีปัญหากับเรือนจำ เช่น
หนังสือชีวิตนักต่อสู้ที่ติดคุกอย่าง โฮจิมินห์
ส่วนณัฐวุฒิ เขาได้หนังสือ การต่อสู้ของเนลสัน เมนเดลล่า เขาอ่านแล้วชอบ
แต่พี่ว่าอย่าเอาอย่างเลย มันติดคุกนานเกินไป
แม้นพ.เหวงจะถือปืนต่อสู้ในป่ามา
แต่ในวัย 60 เมื่อต้องติดอยู่ในคุกปนอยู่กับผู้ต้องขังรายอื่น ก็ท้อแท้เป็นธรรมดา
ธิดาจึงต้องเป็นพลังใจให้สามี

“ก็บอกเขาว่า ทุกคนที่อยู่ในเรือนจำ เขาก็เป็นคน (เน้นเสียง) เหมือนเรา
หลายคนอาจผิดพลาด ก็ให้หมอทำใจ ฉะนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับเขาให้ได้”


ช่วงหนึ่งธิดาเล่าน้ำตาคลอ
“สฤษดิ์แม้จะเป็นเผด็จการ ทำไม่ดี แต่เขาก็ยังมีความดีอยู่บ้าง คือ
เขาให้เอานักโทษการเมืองอยู่ในแดนเฉพาะ
แยกออกจากอาชญากรไม่เหมือนยุคอภิสิทธิ์ที่จับปนไปหมด
เป็นรัฐบาลเผด็จการยิ่งกว่ารัฐบาลทหารเผด็จการแท้ๆ”


กระนั้น เธอยังสวมบทบาทพี่เลี้ยงคอยให้กำลังใจแกนนำทุกคนว่า
ถ้าจะเป็นนักต่อสู้ต้องผ่านช่วงสำคัญนี้ให้ได้

“คุณวีระเขาเป็นคนใจใหญ่นะ เขาบอกพี่ รัฐบาลจะทำอะไรก็ทำ
เพราะชีวิตเขาผ่านอะไรมาเยอะแล้ว
ส่วนเต้น(ณัฐวฒิ) เป็นคนที่น่าชมเชย แต่เขาขาดนิดเดียว คือ
ไม่ได้ศึกษาทางหลักทฤษฎี เขาใช้ประสบการณ์และข้อดีตัวเขาขึ้นมา
ถ้าเขาได้ศึกษาเรื่องบทเรียนทางประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนจะดีมากขึ้น
แต่ที่จริงเขาไม่ได้เตรียมพร้อมจะมาทำตรงนี้
เขาเตรียมพร้อมจะเป็นโฆษกออกรายการทีวี มากกว่า
ไม่มีใครคิดหรอกว่า จะมารับผิดชอบขบวนการประชาชนที่ใหญ่โตขนาดนี้
นี่จึงอาจเป็นข้ออ่อนและบทเรียนที่พี่บอกว่า ในชัยชนะมีความพ่ายแพ้อยู่ระดับหนึ่ง
เพราะเป็นมันชัยชนะที่คุณคุมมวลชนเป็นเรือนล้านและเรียกคนมาได้เป็นแสน
แต่ขณะเดียวกันมันมีความพ่ายแพ้ มีข้อบกพร่อง

“แต่โดยรวมพี่ได้แต่บอกแกนนำทุกคนว่า
คุณกำลังถูกทดสอบว่า จะเป็นนักต่อสู้ประชาชนได้ไหม
ถ้าคุณจะเป็นได้ คุณต้องผ่านการถูกขังมาก่อน
(หัวเราะ)
แกนนำบางคนถามพี่ว่า มันต้องติดคุกหรือพี่ ... พี่บอกใช่ๆ (หัวเราะ)
พี่บอกขวัญชัย อย่าร้องไห้ (ลากเสียง) เพราะขวัญชัยตอนแรกก็จะร้อง นิสิตก็เหมือนกัน
เฮ้ย..นิสิตที่ให้เป็น ผอ.โรงเรียนนปช.ก็คืองานนี้แหละที่ต้องมาติดคุก
นิสิตบอกงั้นหรอ..ก็ใช่สิ (หัวเราะ) คือ
พี่ต้องพูดล้อเล่น ให้เขารู้ตัวว่า
เมื่อเข้าสู่ปริมณฑลการต่อสู้ของประชาชนแล้ว จะคิดแบบเก่าไม่ได้
และเขาต้องยินดีกับบทบาทที่ต้องถูกติดคุก ต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้”

“พี่บอกเขา เวลาทำงานภาคประชาชน คุณมองแต่ด้านรุ่งโรจน์ที่ได้ทั้งกล่อง ทั้งเงิน ไม่ได้
นี่ไงกำลังถูกทดสอบ ถ้าเป็นนักต่อสู้ คุณต้องพร้อม
1. ตาย
2. ติดคุก
คุณจะผ่านไหม พี่ให้กำลังใจอย่างนี้ เพราะเขาคิดว่า
มันง่ายๆ หมูๆ พาคนมาประท้วงยุบสภาได้ก็ได้ ไม่ได้ก็กลับบ้าน
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ไม่ได้กลับบ้าน ยุบสภาก็ไม่ได้ แต่มันเข้าตาราง”

“ขนาดหมอเหวงผ่านมาเยอะก็ยังไม่ใช่ว่าครั้งนี้จะง่ายนะ
ทุกวันนี้พี่ให้กำลังใจเขา ไม่ใช่ให้กำลังใจอดทนอย่างเดียว
เราบอกว่าคุกมันขังคุณได้แต่ร่างกาย
แต่จิตวิญญาณของเราต้องไม่ถูกทำลาย มันขังเราไม่ใช่ชัยชนะ
แต่ถ้าเมื่อไร มันทำลายจิตวิญญาณการต่อสู้ของเรา นั่นแหละมันได้ชัยชนะ

หมอเหวงฟังแล้วเป็นไง?.... “แล้วคุณฟังแล้ว รู้สึกอย่างไรหล่ะ

สำหรับ “หมอเหวง” ธิดา เล่าว่า
หลังจาก ออกจากป่าสมัยในฐานะคนเดือนตุลาในช่วงรัฐบาลเปรม
นับแต่นั้นจนถึงเหตุการณ์เสื้อแดง “หมอเหวง” ต้องเข้าเรือนจำเป็นครั้งที่สามแล้ว

“ตอนเหตุการณ์ชุมนุมหน้าบ้านป๋า(พล.อ.เปรม ติณสูลานท์) อยู่เรือนจำ 10 วัน
เราเข้ากันเอง เขาให้ประกันไม่ยอมประกัน พี่บอกบ้าหรือไง ..ตู่ (จตุพร)
และสุดท้ายหมอเหวง กับ อาจารย์มานิตย์ จิตจันทร์กลับ บอกว่า
เป็นคนแก่ จึงขอออกมาก่อน
ส่วนรอบสองปีที่แล้ว อยู่ค่ายตชด. ไม่ได้เข้าเรือนจำ
แต่รอบนี้ดูจะไม่ได้ออกมา ขนาดก่อแก้ว เขายังไม่ยอมให้ออกมาเลย
มันประหลาดไหมบอกว่า กลัวหนี คนที่จะหนีมันหนีไปหมดแล้ว
พวกนี้มันพวกไม่หนีอยู่แล้ว ออกมาก่อนแล้วยังเข้าไปมอบตัวนะ
คุณวีระ ก่อแก้ว หมอเหวง ที่ออกมาก่อนจากเวทีตอนนั้น
เพราะมันกำลังอยู่ในช่วงที่มั่ว คือ แค่หลบอันตรายเท่านั้นเอง



แล้วทำไม “หมอเหวง”ไม่หนีเหมือน จรัล ดิษฐาอภิชัย? ...
ก็เราไม่คิดจะหนี เรามีลูก มีครอบครัว มีงานและอีกอย่างเชื่อว่า
เราไม่ได้ทำผิด ไม่ได้เป็นพวกก่อการร้าย สนับสนุนการต่อสู้ด้วยอาวุธ
เราเพียงแต่เอาคนมายุบสภา แต่พอมันมีเรื่องประกาศ พรก.
เราก็สู้กันไป ก็คิดแค่นั้น ด้านหนึ่งอาจมองว่า พลาดไปก็ได้ ไม่คิดว่า
เขาจะเอาตายขนาดนี้ เพราะเชื่อมั่นว่า
ตัวเองบริสุทธิ์
ก่อแก้ว เต้น ก็มีลูกน่ารัก ทุกคนไม่มีใครคิดใช้กำลังอาวุธและสู้กับใครแล้วต้องหนี

แต่แรมโบ้กับกีร์ไปเลย... “ที่เขาไปเพราะกลัวถูกเล่นงาน โกรธแค้นกันมาก
เพื่อความปลอดภัยจึงไปก่อน และถ้าพรรคพวกไม่เป็นไรก็อาจจะกลับมา
แต่ถ้าพรรคพวกถูกกระทำอย่างนี้ มันก็คงยากที่เขาจะกลับมา
ฉะนั้น ก็ไม่รู้... อยู่ที่ว่า ถ้าคิดแบบโบราณ คิดว่า
เหมือนเกมที่เขาเรียกว่า ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นกบฎ ตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร
แต่ถ้าคิดแบบทฤษฎีสมัยใหม่ ซีโร่ซัมเกม คือ
มันต้องบวกลบกันไปข้างเป็นศูนย์ คือ มรึงต้องตายไปข้าง (หัวเราะ)
นี่ก็เป็นวิธีคิดของพวกเขาแบบนั้น ไม่ได้คิดตามหลักการของคนยุคใหม่
ที่คนเราสามารถผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะได้”


ครูใหญ่โรงเรียนแดงสองยุค

ธิดาเป็นคนเดือนตุลา เธอบอกเริ่มเข้าป่าปี 2519 ทั้งที่ไม่ต้องเข้าก็ได้
เพราะไม่จำเป็นต้องหนี
แต่เข้าเพราะแฟชั่น ที่เห็นนักศึกษาหนีเข้าป่าไปเยอะ เธอเล่าชีวิตช่วงนั้นว่า

“ตอนนั้นเพิ่งจบเป็นอาจารย์เด็ก จบปริญญาโท microbiology ที่คณะเภสัช จุฬาฯ
เราสงสาร เลยตามเข้าป่าไปดู พี่เลยไปเปิดโรงเรียนแพทย์ในป่าเยอะเลย
ตอนนั้นพี่ไปภาคใต้ก่อนและก็ดูงานพรรคคอมมิวนิสต์มลายู
จากนั้นไปภาคเหนือ เดินไปเดินมาฝั่งลาวไทย ช่วงนั้นก็ปิดชายแดนอีก
พี่ก็ไปอีสานก็ไปเจอหมอเหวงที่นั่น เข้าป่าทั้งหมด 7 ปี ถือว่า
ผ่านชีวิตลำบากในช่วงนั้น
แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของมนุษย์ เพราะเป็นช่วงต้นของชีวิต”
จากเสื้อแดงคอมมิวนิสต์ในป่า สู่เสื้อแดงนปช. หน้าที่หลักที่นปช.มอบให้คือ
เป็นครูใหญ่ในโรงเรียนนปช. ที่แผ่เป็นกิ่งก้านหลายร้อยแห่งทั่วประเทศ

เธอบอกว่า บรรยายในโรงเรียนเรื่องนโยบาย นปช. ทั่วไป
แต่ช่วงหลังตั้งโรงเรียนไม่ทัน
จึงมีพวกเสื้อแดงด้วยกันแอบอ้างไปทำโรงเรียนนปช.ปลอมกันขึ้นมาเยอะ
ทำโดยไปเชิญคนนั้นคนนี้ไปพูดเท่านั้น

“พอเปิดโรงเรียนนปช.คนก็สมัครล้นหลาม
ตอนนั้น อดิศร (เพียงเกษ) ก็มาวิ่งขอฝากคนเข้าโรงเรียนนปช.เลย
แทนที่จะฝากเข้าสวนกุหลาบ แต่พอมาเปิดเยอะ ปลอมขึ้นมา คือ
พูดความจริงไม่หมด ช่วงหลังพี่ก็ด่าซิ” เธอหัวเราะ

แสดงเมื่อ 7/25/2010 07:58:00 ก่อนเที่ยง

http://www.bypassconnect.info/browse.php...odG1s&b=13

http://www.internetfreedom.us/showthread.php?tid=1233
--
http://thaipoliticalprisoners.wordpress.com/2010/05/16/the-king-fades
http://thaiuknews.wordpress.com
http://redphanfa2day.wordpress.com
http://liberalthai.wordpress.com,
http://asiapacific.anu.edu.au/newmandalahttp://www.notthenation.com,
http://wdpress.blog.co.uk,
http://www.youtube.com/user/iheredottv,
http://redsiam.wordpress.com,
http://siamrd.blog.co.uk,http://thaienews.blogspot.com,
http://thaipoliticalprisoners.wordpress.com,
http://thaiuknews.wordpress.com,
http://redphanfa2day.wordpress.com,
http://liberalthai.wordpress.com,
http://lmwatch.blogspot.com/ศูนย์ข้อมูลและเฝ้าระวังกรณีผลกระทบจาก"กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ"และข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้อง,
http://horriblethailand.wordpress.com/category/red-songs,
http://www.filmint.nu
http://filmjournal.net/kinoblog

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

RT20669: <<<<<<< 0 >)))))) ออกใบสั่งล่า "ฆ่าอภิสิทธิ์" <<<<<<<<< 0 >))))))))





จะรอดูดาบนั้นคืนสนองพวกมาร ด้วยใจจดจ่อ ค่ะ

2010/7/25 Channan Thongmee <thby88@gmail.com>:
> ตื่นเต้นคะ ตื่นเต้น หยั่งงี้เค้าเรียก ดาบนั้นคืนสนอง (ทั้งแก๊งค์) ปะคะ อิอิ
>
> เมื่อ 21 กรกฎาคม 2553, 15:11, Nilubon Thatawakorn <nini1089@gmail.com>
> เขียนว่า:
>>
>> <<<<<<< 0 >)))))) ออกใบสั่งล่า "ฆ่าอภิสิทธิ์" <<<<<<<<< 0 >))))))))
>>  by หมอตำแย
>>
>> ..... พวกคุณ"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ร่างทรงไล่ล่าพวกเขามานานนับปี
>>
>> วันนี้พวกเขาขอ"เอาคืน" เกมไล่ล่ากำลังเกิดขึ้นแล้ว ส่วนจะเป็นฝ่ายไหน
>>
>> ให้พวกมันไปหากันเอาเอง..... อย่ากระพริบตา...???
>>
>> คดีนี้ทางคุณ อัมสเตอร์ดัม บอกว่าชัดเจนตรงที่สื่อต่างประเทศเห็น
>>
>> คนเสื้อแดงที่ชุมนุมมือเปล่าๆ แต่ถูกยิงตายอย่างไร้มนุษย์ธรรมจ้า
>>
>> ..........................................
>>
>> by บังสุกุล
>>
>> ผมมาบอกกันตรงๆให้ก็ได้ครับ
>> ขณะนี้ สำนักงานกฏหมาย อัมเตอร์ดัม
>> ทำสำนวนเสร็จพร้อมยื่นฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศแล้ว
>> และการไต่สวนระบบลูกขุนซึ่งตามรัฐธรรมนูญไทย
>> กษัตรย์คือผู้ใช้อำนาจอธิปไตยทั้ง3อำนาจ
>>
>> จึงจะมีการฆ่าตัดตอน 2 คน คือ อภิสิทธิกับสุเทพ หาก 2 คนนี้ตาย
>> ทั้งหมดจะรอดรวมกองทัพด้วยรอดหมด
>>
>> หากกำจัดแค่ 2 คน อภิสิทธิ สุเทพ จบเกมส์แน่นอนครับ
>> เพราะคดีจะสิ้นสุดเมื่อผู้ต้องหาเสียชีวิต และอัมเตอร์ดัม
>> เองหากไม่มีหลักฐานถึงสถาบันแม้รัฐธรรมนูญให้กษัตรย์ใช้อำนาจ
>> แต่ต้องมีผู้รับสนองคือผู้รับผิดชอบเมื่อตัดตอน 2 คนถือว่าคดีจบครับ
>> 2 คนนี้ตายโหงแน่นอนครับเพราะประเทศจะสงบและง่ายต่อการปรองดอง
>>
>> .........................................
>>
>> by Bugbunny
>>
>> ถึงจะตัดตอนอย่างไรทั้งแก๊งค์ก็คงอยู่ในฐานะลำบาก
>> ในคดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่พิจารณาในศาลอาญาระหว่างประเทศนั้น
>> เท่าที่ผ่านมามีชัดเจนอยู่ 2 คดี (มีมากกว่านี้นะครับ แต่ไม่เป็นข่าวใหญ่)
>> คืออาชญากรรมของสโลโบดัน มิโลเซวิช แห่งเซอร์เบีย
>> และคดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในรวันดา
>>
>> สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะทั้ง 2 กรณีเป็นข่าวดังไปทั่วโลก
>> พึงรับทราบด้วยว่าทั้ง 2 เรื่องนี้ หัวหน้าใหญ่สุด นายทหาร ขี้ข้า ฯลฯ
>> โดนนำขึ้นพิจารณาคดีและตัดสินจำคุกกันระนาว
>>
>> เพราะพิสูจน์ได้ว่าพวกจำเลยใช้กองกำลังที่เข้มแข็งกว่า
>> ข่มเหงและสังหารผู้ต่อต้านที่อ่อนแอกว่าอยู่ข้างเดียว
>> ฝ่ายตรงข้ามกับจำเลยมีการต่อสู้กลับเช่นกันด้วยอาวุธเท่าที่จะหาได้
>> แต่ไม่ใช่กองทัพสมบูรณ์แบบที่มีความสามารถทางอาวุธอย่างของจำเลย
>> ผลที่ตามมาคือการฆาตกรรมหมู่ โดยผู้ถูกฆ่าไม่ได้ขัดแย้งส่วนตัวกับจำเลย
>> แต่เป็นการขัดแย้งทางความคิด ความเชื่อ และเชื้อชาติ
>> คือการนำกองทัพที่จงรักภักดีต่อตนออกมาสังหารผู้มีความเห็นต่าง
>> เป็นอาชญากรรมทางการเมืองที่ชัดเจนและเห็นไปทั่วโลก
>>
>> ถ้าเปรียบเทียบกับกรณีฆาตกรรม 100 ศพราชประสงค์และสี่แยกคอกวัวแล้ว
>>
>> ผู้ถูกสังหารและบาดเจ็บล้วนเป็นกลุ่มที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างจากผู้ปกครอง
>> การชุมนุมกระทำโดยเปิดเผย และไม่ได้นำกำลังอาวุธออกมาโจมตีก่อน
>> การตอบโต้ด้วยการระบายความแค้น เช่น ยิงกลับหรือเผาอาคารบ้านเรือนนั้น
>> ล้วนเกิดขึ้นภายหลังการถูกผู้มีอำนาจทำร้ายสังหารเข่นฆ่าประชาชนก่อนทั้งสิ้น
>> พยานหลักฐานเหล่านี้มีชัดเจน
>>
>> ที่สำคัญคือกรณีราชประสงค์นั้นภาพและข่าวความรุนแรงกระจายไปทั่วโลก
>> ความหฤโหดต่าง ๆ มีพยานหลักฐานจากผู้ไม่มีส่วนได้เสียมากมาย
>> ทั้งจากสำนักข่าวต่าง ๆ และพยานบุคคลชาติเป็นกลางที่เห็นเหตุการ
>> ฉะนั้น การฆ่าตัดตอนเฉพาะแพะเพื่อบูชายัญสังเวยไม่กี่ตัวน่าจะลำบาก
>> โลกวันนี้ไม่ใช่แผ่นดินเถื่อนเหมือนยุคกลางหรือยุคโบราณนะครับ
>> ทำอะไรแล้วก็เอาอิทธิพลมาบีบคั้นให้ยอม ๆ กับความเลวร้ายของผู้ปกครอง
>> อย่าว่าแต่สังคมโลกเลย แม้แต่ในสังคมนี้ คนที่ไม่ยอมก็มีอยู่เต็มไปหมด
>>
>> แก๊งค์ฆาตกร 100 ศพมีหวังได้ติดคุกทุกระดับประทับใจกันเป็นแถว
>> เวลาสืบพยานค้นหาความจริงในศาลอาญาระหว่างประเทศน่ะ
>> พวกอีแอบบล็อกไม่ได้หรอกครับ
>>
>> เพราะเขาตัดสินคดีกันในอาณัติของสังคมมนุษยชาติโลก
>>
>> ...........................................
>>
>> by ถูกคอ
>>
>> ถึงเวลาฟ้าหลังฝนแล้ว.........จะทันเป็นของขวัญวันเกิดเธอไหมจ๊ะ
>>
>> แล้วคนที่เป็นพยานในราบ11 ....ที่เห็นตอนบัญชาการน่ะ
>> ...จะต้องเก็บออกไปด้วยรึปล่าว
>>
>> ...........................................
>>
>> by X-Files
>>
>> ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าจะถูกตัดตอน ไม่อย่างนั้นจะถูกสาวไปถึงนางพญา
>> และนายพญาอีกทอด
>> ไม่เพียงสัตว์ แต่ยังมีคางคก และกบเขียวๆ อีกหลายตัว ทั้งหัวล้าน และไม่ล้าน
>> ทั้งราบ และไม่ราบ
>> แต่ยังไง หลังฉากก็ไม่มีทางรอด
>>
>> โปรดติดตามตอนต่อไป หนังเรื่องนี้ใกล้จบแล้ว
>>
>>
>> .......................................................................................................................................
>>
>> http://www.prachataiboard1.info/board/id/52914?page=1
>
> --
> *******************************************************************************************
> คุณได้รับข้อความนี้เนื่องจากคุณเป็นสมาชิกกลุ่ม Google Groups กลุ่ม
> "กลุ่มเรดไทย"
> ต้องการโพสต์ถึงกลุ่มนี้ ให้ส่งอีเมลไปที่ redthai@googlegroups.com
> ยกเลิกการเป็นสมาชิกกลุ่ม ส่งอีเมลไปที่ redthai+unsubscribe@googlegroups.com
> หากต้องการดูตัวเลือกเพิ่มเติม โปรดไปที่กลุ่มนี้โดยคลิกที่
> http://groups.google.com/group/redthai?hl=th?hl=th
> เว็บไซต์ของกลุ่ม: http://www.redthai.org
> cBox ของกลุ่ม http://cbox.redthai.org
>

--
*******************************************************************************************
คุณได้รับข้อความนี้เนื่องจากคุณเป็นสมาชิกกลุ่ม Google Groups กลุ่ม "กลุ่มเรดไทย"
ต้องการโพสต์ถึงกลุ่มนี้ ให้ส่งอีเมลไปที่ redthai@googlegroups.com
ยกเลิกการเป็นสมาชิกกลุ่ม ส่งอีเมลไปที่ redthai+unsubscribe@googlegroups.com
หากต้องการดูตัวเลือกเพิ่มเติม โปรดไปที่กลุ่มนี้โดยคลิกที่
http://groups.google.com/group/redthai?hl=th?hl=th
เว็บไซต์ของกลุ่ม: http://www.redthai.org
cBox ของกลุ่ม http://cbox.redthai.org



--
http://www.unblockallweb.com/
http://downmerng.blogspot.com
http://picasaweb.google.com/prainn999/14255302# ทัพผ่านฟ้าสู่ราชประสงค์ วันที่ 14 เมษายน 2553
http://www.unblockallweb.com/index.phpq=aHR0cDovL2Rvd25tZXJuZy5ibG9nc3BvdC5jb20%3D&hl=3e8
http://www.112victims.org/
http://www.thaifreenews.org/
http://friendfeed.com/
http://chirpcity.com/bangkok/3
http://www.radaroo.com/
http://factsforthais.blogspot.com/2009/05/7.html
http://tv.kapook.com/nbt.php
http://friendfeed.com/antactica
block
http://www.ustream.tv/channel/redheart
http://redpower-sm-germany.com

Lands of Thailand

PLEASE READ BEFORE YOU WATCH THE VDO.The Facts of Thailand history as follows:- The earliest mention of the Thai, as a nation in south China call NAN-JOA (Nanzhao or Nanman), comes from Chinese records dating back to the sixth century BCE. These early Thai emanated out of the Yunnan region and dispersed into the general area of what is today Thailand.- The known early history of Thailand begins with the earliest major archaeological site at Ban Chiang that at least by 3600 BC. Meanwhile, Malay, Mon, and Khmer civilizations flourished in the region prior to the domination of the Thais, most notably the kingdom of Srivijaya in the south, the Dvaravati kingdom in central Thailand and the Khmer empire based at Angkor. Sukhothai Kingdom (1238-1448):- Chiang Saen was established in the early 700s and Mueang Sua (Luang Prabang) around AD 728 making them the first kingdoms established by the Tai-speaking people in southeast Asia, prior to the migration and expansion of the Tai-speaking people into northern Thailand, Laos, and eventually into central Thailand and central Laos.- The city of Sukhotai was part of the Khmer empire until 1238, when two Tai chieftains, Pho Khun Pha Muang and Pho Khun Bang Klang Hao, declared their independence and established Sukhotai Kingdom (1238-1448) as known the Thai-ruled kingdom. To form the Thai Kingdom, Thai annexed some parts of prior regions until Rattanakosin Kingdom (1782), which shown by Franco-Siamese records and others.- Most of the lands in the presentation did not belong to Thai kingdom at the beginning of Sukhotai Kingdom (1238-1448). However, in 1792 the Siamese occupied Luang Prabang and brought most of Laos under indirect Siamese rule. Cambodia was also effectively ruled by Siam. By the time of Rama I was death in 1809 he had created a Siamese Empire dominating an area considerably larger than modern Thailand.This presentation is about history of the lands that Thailand has lost since Rattanakosin Kingdom (1782-1932). The original file was Thai version, I translated the data and did some research. If you find some errors, please email me in details as diplomats. I appreciate every comment and ready to revise the presentation. I did not mean to offense anyone, and feel bad if people criticize or rude to others. If I offense somebody, please accept my apology.The map might be wrong for measurements and positions. References as following:www.wikipedia.orghttp://en.wikipedia.org/wiki/Early_hi...http://en.wikipedia.org/wiki/Sukhotha...http://en.wikipedia.org/wiki/History_...http://en.wikipedia.org/wiki/History_...http://en.wikipedia.org/wiki/Laos#His...http://en.wikipedia.org/wiki/Cambodia...http://en.wikipedia.org/wiki/Perlis#H...http://en.wikipedia.org/wiki/Myanmar#...http://en.wikipedia.org/wiki/Franco-S...

จะต้อง 'ยิงตัวตาย' กันอีกกี่ศพ!!?

จะต้อง ‘ยิงตัวตาย’ กันอีกกี่ศพ!!?

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

        มื่อ 27 พ.ค.2553 ผมได้เขียนบทความเรื่อง ‘มือปืน’ กับ ‘สไนเปอร์’ ของคู่ประเทศไทย ให้แฟนๆอ่านกัน ได้ตั้งข้อตั้งข้อสังเกตเอาไว้ตอนหนึ่ง ดังนี้ 
       
....ต่อจากนี้ไป คำว่า ‘มือปืน’ กับ ‘สไนเปอร์’ หรือ ‘พลซุ่มยิง’ จะต้องกลายเป็นของคู่กับเมืองไทย ทั้งนี้เพราะ...
        ต่อไปนี้ ในกรณีที่มีความขัดแย้งที่รุนแรง ความต้องการในการจ้างวานใช้ คนที่ใช้ปืนลักษณะการซุ่มยิงได้ ก็จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ยังผลให้จากนี้ไป เราคงจะได้เห็นความปลอดภัยในชีวิตร่างกายของพวกนักการเมือง ตลอดจนผู้คนในวงการธุรกิจ จะลดน้อยถอยลง

       
คนพวกนี้จะ ‘ตายโหง’ กันมากขึ้น!
        สำหรับสภาวการณ์ปัจจุบัน ผมมีความเชื่อมั่นว่า...
        เมื่อเวลาผ่านไป ข้อเท็จจริงต่างๆ ก็จะหลั่งไหลมาปรากฏต่อสาธารณชนอีกมากมาย จากทั้งฝ่ายรัฐบาลและคู่ขัดแย้ง 
        (ดูรายละเอียดได้ที่(
http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=227)

        นึกไม่ถึงว่าที่ตัวเองคาดการณ์เอาไว้ จะมาถึงเร็วขนาดนี้ เพราะหลังจากที่เขียนคอลัมน์ ลงไปไม่ถึง 2 เดือน สิ่งที่คาดไว้ก็อุบัติขึ้น แค่วันที่ 11 ก.ค.2553 เท่านั้น นายอำนาจ ศิริชัย นายก อบจ.นครสวรรค์ ก็ถูกคนร้ายลอบยิง โดนลอบยิงเข้าที่คออาการสาหัส ที่สนามหญ้าหน้าศาลากลางหลังเก่า ติดกับถนนโกสีย์ใต้ ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ 
        อีกเพียง 5 ชั่วโมงถัดมา นักการเมืองท้องถิ่นที่กำลังมีแววจะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง สามารถเข้าสู่เวทีระดับชาติได้ไม่ยาก และอาจมีโอกาสคว้าตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย ก็เสียชีวิตลง 
        เจ้าหน้าที่คาดว่า อาจเป็น “ฝีมือสไนเปอร์” ที่แอบซุ่มยิงอยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุ โดยมีผู้ชี้เป้าให้สไนเปอร์ 
        ก่อนลงมือ...ลั่นไกสังหาร!

        การชันสูตรพลิกศพของเจ้าหน้าที่ จะทำให้การสอบสวนเรื่องนี้ชัดเจนขึ้น เพราะจะทำให้ปรากฏชัดว่า 
       
ผู้ตายนั้นตายเพราะ อาวุธปืนอะไร ขนาดไหน? 
        ประมาณว่าถูกยิงระยะไกลนั้น เป็นระยะทางเท่าใด? 
        สันนิษฐานได้ว่า คนยิงใช้อาวุธยิงระยะไกล อำนาจทำลายล้างสูงแบบเดียวกันกับการยิงของ Sniper หรือ ‘พลซุ่มยิง’ ใช่หรือไม่?  ฯลฯ

        การขันสูตรพลิกศพ จึงเป็นเรื่องสำคัญ ต่อกระบวนการการสอบสวนเป็นอย่างยิ่ง!

content/picdata/239/data/poa.jpg

        นเรื่องชันสูตรพลิกศพนี้ คนไทยมีชื่อเสียงมาก่อน จะเห็นได้จากหนังสือเรื่อง “เปาบุ้นจิ้น” ฉบับขององค์กรคุรุสภาที่พิมพ์ตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2516 ซึ่งมีอยู่ 76 เรื่อง ซึ่งที่ถือกันว่าเป็นฉบับที่สมบูรณ์ที่สุดที่มีอยู่ขณะนี้ ปรากฏว่ามีเรื่องการพิจารณาคดีของไทยเรา รวมอยู่ด้วย
        ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะทางฝ่ายจีน มีความสัมพันธ์กับไทยมายาวนาน คงประทับใจเรื่องการสอบสวน และตัดสินอรรถคดีของเมืองไทย ซึ่งมีการชันสูตรพลิกศพรวมอยู่ด้วยนั้น เพราะเป็นเรื่องที่แสดงความสามารถของผู้สืบสวนสอบสวน และตุลาการผู้ตัดสินคดี ควรแก่การยกย่อง หรือสมควรที่คนจีน จะนำมาเป็นตัวอย่างได้ 
        ดังนั้น ฝ่ายจีนจึงนำเข้ามารวมไว้ในเรื่อง “การตัดสินคดีของเปาบุ้นจิ้น” ด้วย หรือจะเป็นเรื่องที่คนไทย อาจเขียนเสริมเข้าไป ตรงนี้ก็ต้องขอให้ทางผู้มีความรู้ภาษาจีน ลองตรวจสอบกันดูกับต้นฉบับ เพราะผมไม่มีความสามารถในเรื่องภาษาจีน แต่ก็จะขอย่อยเรื่องที่กล่าวถึง ในเวอร์ชั่นของ “วาทตะวัน” ให้ท่านฟังดังต่อไปนี้

        ายหญิงคู่หนึ่งผูกสมัครรักใคร่ แอบได้เสียกัน ฝ่ายชายชื่อนายกอ ฝ่ายหญิงชื่อ อำแดงญอ เป็นบุตรของนายพอ กับ อำแดง ทอ นายกออายุ 23 ฝ่ายหญิงวัยกำลังสาว 19 ปี แม้คนทั้งสองจะลักลอบเป็นผัวเมียกันแต่ผู้ใหญ่ฝ่ายสาวก็ไม่รู้เรื่องและไป รับขันหมากจากชายผู้ไม่ปรากฏนาม สินสอดทองหมั้นก็เป็นเงินมากอยู่พอควร       
        อำแดงญอเธอรักและหลงไหลนายกอมากได้ให้สัญญาว่า แม้ฟ้าถล่มดินทลาย เธอก็จะรักผัวคือนายกอผู้นี้ แต่เพียงคนเดียว และจะเบี้ยวการแต่งงานที่พ่อแม่ไปตกปากลงคำไว้แล้วด้วย 
       
หล่อนไม่พูดเปล่าๆ ดันหอบเอาเงินทองของหมั้นส่วนหนึ่ง ให้นายกอนำไปเก็บเอาไว้เป็นทุนเมื่อหนีไปอยู่กินร่วมกัน 
        ผู้หญิงอย่างอำแดงคนนี้ มีให้เห็นเยอะสมัยนี้ แต่งตอนเย็นไม่ให้เจ้าบ่าวนอนด้วย ตื่นเช้ากลายเป็นแม่ยก คือยกเข้ายกของเจ้าบ่าวเกลี้ยงหนีไปอยู่กับผัวเก่า ปล่อยเจ้าบ่าวต้องขึ้นโรงพักไปแจ้งความกันเลยทีเดียว!

        วันเกิดเหตุร้ายนั้น นายกอร่ำสุราเข้าไปมาก แต่ก็ยังมีสติดีอยู่ ลอบขึ้นเรือนของอำแดงญอ และได้ร่วมอภิรมย์สมพาสกับแม่สาวไปหนึ่งครั้ง จนเสร็จเรียบร้อยแล้วเกิดอาการกระหายน้ำ 
        นายกอจึงให้อำแดงญอ ไปตักน้ำน้ำให้กินชื่นใจ ตอนนั้นฝนตกอยู่พอดี สาวเจ้าจึงเอาขันไปรองน้ำฝนจากราง นำไปให้นายกอคู่สวาทสวีทฮาร์ท ซึ่งก็ดื่มอั่กๆเข้าไปเพราะหิวจัด ดื่มน้ำแล้วทั้งสองต่างก็หลับไหลไปด้วยอาการหมดแรง เพราะทำกิรกรรมเข้าจังหวะหนักมากด้วยกันทั้งคู่       

        พอฟ้าสางอำแดงญอฟื้นตัวตื่น เห็นแสงตะวันก็ตกใจ รีบปลุกนายกอรีบลงจากเรือนไปเสียก่อนพ่อแม่จะเห็นเข้า พอเอามือเขย่าร่างของฝ่ายชายดู ปรากฏว่าร่างเย็นเฉียบ แข็งทื่อตายหมดลมเด็ดสะมอเร่ตายไปเรียบร้อยแล้ว       
        ยุ่งละซีอีทีนี้!

        อำแดงญอเธอร่ำไห้ด้วยความ เสียใจเจียนจะขาดใจตายตาม แต่เมื่อยังไม่ตายก็ต้องไปบอกพ่อแม่ ซึ่งผู้เป็นบิดามารดาก็ตกใจนัก เพราะลูกสาวได้กระทำการอันบัดสียิ่ง ซึ่งโบราณเขาเรียกว่า 
        "เป็นชู้เหนือขันหมาก"

        สังคมไทยตอนนั้น รับไม่ได้ (ตอนนี้จะรับกันได้หรือยัง ผมก็ไม่รู้? ) ซึ่งถือกันว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก แต่ด้วยความที่ตนเองเป็นคนซื่อสัตย์ สองคนผัวเมียผู้เป็นบุพการีของฝ่ายหญิง ก็ไม่คิดปกปิดความจริง หรือเอาศพนายกอไปทิ้งนอกเรือน หากแต่ได้ตรงไปบอกพ่อแม่นายกอให้รับรู้ 
        บิดามารดาของผู้เคราะห์ร้าย ก็ตกใจร้องไห้โศกาอาดูรยิ่งนัก ที่ลูกชายมาด่วนตายไป จึงพากันไปเชิญฝ่ายอำเภอมาชันสูตรพลิกศพ ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่อำเภอเห็นว่า ไม่มีร่องรอยการทำร้ายและไม่ปรากฏบาดแผลบนตัวผู้ตาย ก็สรุปว่า นายกอไม่ได้ตายเพราะถูกฆ่า พ่อกับแม่นายกอจึงนำศพลูกชายไปฝังไว้       
        เรื่องนี้ทำท่าจะจบลง แต่ไม่เป็นอย่างนั้นก็เพราะเมืองไทยมีคนสาระแนอยู่มาก โดยเฉพาะพวกหมอความสมัยนั้น ได้มีหมอความตัวดีมายุยงให้พ่อแม่ของนายกอฟ้องร้อง ว่าบิดามารดาของอำแดงญอ ร่วมกับลูกสาวคือตัวอำแดงญอ วางยาพิษลูกชายของตน ซึ่งพ่อแม่นายกอก็เห็นชอบไปด้วย จึงมีการฟ้องร้องเรื่องนี้ไปสู่ศาลพระราชอาญาสมัยนั้น

        ศาลพระราชอาญาจึงมีหมายเรียกตัว สามคนพ่อแม่ลูกจำเลยมาเบิกความ ซึ่งทั้งพ่อและแม่ของอำแดงญอก็เบิกได้ตรงกัน แต่อำแดงญอซึ่งเบิกความเจือสมกับพ่อแม่แล้ว ยังได้ให้การเพิ่มเติมไปด้วยว่า ตนได้ยักยอกทรัพย์ที่ได้จากเงินทองของหมั้น นำไปให้นายกอไปเก็บรักษาไว้ เพื่อนำไปเป็นทุนเมื่อหนีไปอยู่ด้วยกัน       
        ศาลได้พิจารณาหาสาเหตุการตาย ด้วยการให้หมอมาชันสูตรใหม่ (เข้าใจว่าอำเภอมาตรวจคงไม่ได้ให้หมอมาดู หรือเป็นหมอชาวบ้านไม่มีวุฒิก็ไม่รู้) คุณหมอพรทุบ (ผมตั้งชื่อให้เอง) ก็ให้ขุดศพนายกอขึ้นมา หมอเอายากรอกกระทุ้งลงปากศพ แล้วผ่าศพดูลำไส้ก็รู้ว่าเป็นยาพิษ       
       
เท่านั้น ยังไม่พอเพื่อให้ความแน่ใจ จึงกราบบังคมทูลพระกรุณาเบิกเอานักโทษประหารมาบังคับให้กินยาพิษ นักโทษตายแล้วก็เอาไปฝัง พอได้สามวันเท่ากับฝังนายกอแล้วขุดศพขึ้นมา ก็ได้หลักฐานอย่างเดียวกันคือ
        พยาธิสภาพของศพ...ไม่แตกต่างกัน!

        าลพระราชอาญาชั้นต้น วินิจฉัยว่า 
        อำแดงญอ ร่วมกับบิดามารดาวางยาพิษผู้ตาย จึงให้ประหารอำแดงญอให้ตายตกไปตามกัน และให้เฆี่ยนพ่อแม่ ๒ ยกหกสิบที แล้วให้เอาไปขังไว้ตลอดชีวิต       
        อำแดงญออุทธรณ์ 
        เนื้อความอุทธรณ์ มีสาระสำคัญอยู่ว่า

        ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผู้ตายถูกวางยานั้นชอบแล้ว แต่ศาลรู้หรือพิสูจน์ได้อย่างไรว่า จำเลยเป็นผู้วางยาพิษ หรือนายกอถูกวางยามาจากที่อื่นก็เป็นไปได้ และจำเลยได้ให้เหตุผลที่สำคัญว่า ถ้าตัวอำแดงยอจะฆ่าคนทั้งที แล้วทำไมจึงเอาทรัพย์สินของหมั้นไปฝากไว้กับคนรักคือนายกอที่ตนคิดจะฆ่านั้นด้วยเล่า       
       
ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาลงมาว่า ตัวจำเลยคืออำแดงญอได้เบิกความมาเองว่า นายกอนั้นเมาสุรามาก่อน แต่ก็ยังกระทำ
อสัจธรรมสังวาส และขอน้ำกินได้ ตรงนี้ศาลวินิจฉัยว่า       

        หากนายกอถูกยาพิษเข้าจริง ก็คงไม่สามารถร่วมกิจประเวณีอันต้องใช้กำลังพอสมควรได้ และศาลเชื่อว่า คำให้การของอำแดงญอที่บอกว่า ออกไปรองน้ำนำไปให้นายกอดื่มกินนั้น ทำให้ศาลอุทธรณ์เห็นว่าห้วงระยะเวลานี้เอง เป็นโอกาสที่ทำให้อำแดงยอสามารถวางยาชู้รักของตัวเองได้ ศาลจึงตัดสินว่าที่ศาลพระราชอาญาชั้นต้นพิพากษาตัดสินมานั้น เป็นอันชอบแล้วทุก ประการ       
        อำแดงญอสู้ไม่ถอย เธอยังให้หมอความ ยื่นคัดค้านคำพิพากษาต่อ เนื้อความมีอยู่ว่า

        ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ฝ่ายอำแดงญอไม่เห็นชอบด้วย เพราะศาลเห็นชอบตามหมอที่ทดลอง แต่หมอและศาลยังไม่ได้ทดลองเลยสักนิดหนึ่งว่า 
        คนเมาสุรามากแล้ว ดื่มน้ำฝนแล้ว จะตายได้หรือไม่? (ตรงนี้สำคัญ)

        อีกประการหนึ่งศาลอุทธรณ์เอง ก็ยังไม่ได้วินิจฉัยว่า ถ้าอำแดงญอคิดจะวางยาพิษแล้ว เหตุไฉนจึงเอาทรัพย์สินของหมั้นค่าถึงหนึ่งพันชั่ง ไปฝากไว้กับคนรักคือนายกอ ที่ตนคิดจะฆ่านั้นจะเป็นประโยชน์อันใดกันเล่า ?       
        อำแดงได้กราบบังคมทูล ขอให้พระเจ้าอยู่หัวทรงวินิจฉัยให้สิ้นสุดกระแสความเสียก่อน โดยขอให้ไปตรวจหาทรัพย์พันชั่งซึ่งตนยักยอกให้นายกอนำไปเก็บที่บ้าน หากไม่พบของกลางที่บ้านของนายกอแล้วไซร้ อำแดงญอก็จะก้มหน้ารับพระราชอาญา รับโทษประหารให้ถูกฆ่าตายตกไปตามกันนั้นเลยทีเดียว       
        พระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงทศพิธราชธรรม ได้รับฎีกาของอำแดงแล้ว ทรงลงพระนามส่งฎีกาให้องคมนตรีกรรมการศาลฎีกา ไต่สวนว่า

        มีของกลางตามที่อำแดงญอ กล่าวอ้างจริงหรือไม่ ? ถ้ามีสมจริงตามเนื้อความในฎีกา ก็ให้งดคำพิพากษาไว้ก่อน และให้ประกาศหาตุลาการ มาพิจารณาหาความจริงแล้วจึงมีคำพิพากษาต่อไป       
       
ปรากฏว่า ผลการตรวจหาของกลาง คือของหมั้นที่อำแดงยักยอกไปให้ชายคนรัก อยู่ในตู้และหีบที่บ้านของผู้ตายจริงสมดังฎีกาของจำเลยที่อ้างไว้จริง        
        ดังนั้น องคมนตรีกรรมการศาล จึงต้องประกาศหาตุลาการมาตัดสินคดีนี้ และมีผู้รับอาสามาเป็น ‘ตุลาการ’ ซึ่งเป็น ‘ตัวเอก’ ที่จะมาเดินเรื่องการตัดคดีความ เรื่องที่ยุ่งยากนี้      
        ชายผู้รับเป็นตุลาการอาสา ชื่อ “นายศี” (ศี สะกดตามต้นฉบับไม่ใช่ศรี) แต่ชาวบ้านเรียกกันว่า “นายขุนศีแม่ตั้ง” ซึ่งเป็นผู้สนใจในเรื่องกฎหมาย อีตาคนนี้แกไปศาลทุกวัน แต่ไม่มีความจะมาให้แกชำระ ผู้คนจึงหัวเราะเยาะเอา เพราะตัวเองไม่ได้เป็นตุลาการ ผู้คนจึงตั้งฉายาล้อเลียนให้แกว่าเป็น... 
       
“ขุนศีแม่ตั้ง”
       
คงคล้ายคลึงกับ “คุณหญิงบ่าวตั้ง” ที่เป็นคำเรียกประชดพวกคุณนาย ที่ยังไม่ได้มีคำนำหน้าเป็น “คุณหญิง” แม้ผัวจะเป็นใหญ่เป็นโต เพราะเป็นถึงหัวหน้ากบฏที่ยึดอำนาจ แต่ตัวเองยังไม่ได้เป็น “คุณหญิง” บ่าวไพร่หรือข้าราชการที่เป็นลูกน้องผัวซึ่งเป็นหัวหน้ากบฏ ที่มีสันดานสอพลอ จึงเรียกหล่อนว่าเป็น 
       
“คุณหญิง” 
        ทั้งนี้ เพื่อเป็นการประจบประแจงเอาใจ “คุณนาย” ที่อยากพาสชั้นเป็น “คุณหญิง” อย่างนี้ผู้คนเขาเรียกว่า 
       
“คุณหญิง...บ่าวตั้ง”

        พอมีการประกาศรับสมัครอย่างนั้น ขุนศีแม่ตั้งจึงรับอาสาทันที และได้รับแต่งตั้งให้เป็นตุลาการมาชำระคดี 
        ขุนศีแม่ตั้งเป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบ เพราะสนใจใฝ่ศึกษาสงสัยว่า

       
คนที่มีกำลังพอจะร่วมประเวณีได้ แต่กินน้ำฝนเข้าไปหน่อยเดียว ทำไมถึงแก่ความตายได้ ? หรือเป็นเพราะในน้ำที่อีตานายกอแกดื่มเป็นพิษ หรือรางน้ำอันเป็นทางไหลของน้ำ คงมีสิ่งมีอยู่เป็นแน่แท้
       
จึงให้นักการเอาบันใดปีนขึ้นไปดู เห็นกระดูกสัตว์เช่นกระดูกหนู ที่นกแสกคาบกินแล้วตกอยู่ในราง และยังมีกระดูก “งูทับสมิงคลา” ทั้งตัวมีเนื้อเหลือติดอยู่บ้าง ก็นำเอาลงมาให้
ขุนศีแม่ตั้งดู
       
       
ขุนศีแม่ตั้งจึงเอากระดูกงูทับสมิงคลาแช่น้ำ แล้วทูลขอพระบรมราชานุญาต เบิกนักโทษประหารออกมาให้ดื่มเหล้าจนเมา แล้วเอาน้ำแช่กระดูกงูให้กิน ปรากฏว่า 
       
นักโทษดิ้นพราดๆ ถึงแก่ความตาย ไปในบัดดล! 
       
จึงให้เอาศพไปฝัง แล้วขุดนำขึ้นมามาผ่าดูอีก ปรากฏว่าเครื่องในศพนักโทษ เหมือนกับนายกอทุกประการ 
        เมื่อได้ความชัดเจนดังนั้นแล้ว ขุนศีแม่ตั้งจึงทำคำพิพากษากราบบังคมทูล ชี้เหตุแห่งการตายให้พระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ โดยวินิจฉัยว่า    
   
       
อำแดงญอไม่ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง พิพากษาให้ปล่อยอำแดงญอ กับพ่อแม่ไปเสีย จากการควบคุมของทางการ       
        ตัวขุนศีแม่ตั้งซึ่งเป็นตุลาการอาสาสมัคร ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “ขุนหลวงพระไกศี” คือเป็นทั้ง “ขุน” “หลวง” และ “พระ” ในฐานันดรเดียวกัน เพื่อตอบแทนการวินิจฉัยคดีที่รอบคอบและเป็นแบบอย่างอันควรยกย่องสืบไป

        ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
        ที่ผมเล่ามายืดยาวพอสมควร ก็ด้วยต้องการชี้ให้เห็นความสำคัญของงานด้านชันสูตรพลิกศพ เพราะเมื่อตอนบ้านเมืองเรา ได้รับความเสียหายร้ายแรงจากคลื่นยักษ์ ‘สึนามิ’ ผู้คนทั้งไทยและเทศต้องล้มตายลงหลายพัน และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก 
        ในครั้งนั้น นอกจากมีการชันสูตรพลิกศพ ยังมีวิธีการพิสูจน์เอกลักษณ์ด้วยวิธีการสมัยใหม่อีกด้วย แต่ปรากฏว่า 
       
การชันสูตรในตอนแรกๆนั้น มีการทำแบบลวกๆชุ่ยๆ ไม่ได้มาตรฐานโลก มีคนเขาแอบถ่ายวีดีโอเอาไว้เป็นหลักฐาน“หมอกบาลฝอย” เลยโดนเขี่ยออก หมดโอกาสจากการร่วมงานกับทีมแพทย์นานาชาติไป ทำให้เสียชื่อเสียงประเทศไปโขอยู่ที่เดียว จนต้องมาแก้ไขกันภายหลัง จึงค่อยดีขึ้น 
        เรื่องการชันสูตรพลิกศพนั้น เพราะเป็นการตรวจพิสูจน์ทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์สาขาสำคัญเลยทีเดียว หลักการที่ต้องยึดถือ คือ
        ต้องทำตามหลักวิชา ด้วยความละเอียดรอบคอบ ทั้งนี้ เพื่อหาสาเหตุการตายที่แท้จริง เพื่อขจัดความสงสัยของผู้คน และอำนวยความยุติธรรมในการพิจารณาคดีด้วย
        ท่านผู้อ่านคงพอสังเกตเห็นได้ว่า ในยามนี้บ้านเมืองของเรา กำลังมีข่าวลือร้ายๆหลายเรื่อง โดยเฉพาะข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับทหาร ที่ถูกกล่าวหาว่า สังหารประชาชนอย่างโหดเหี้ยม โดยเฉพาะการสังหารพี่น้องประชาชนคนไทยไปหลายศพ ใน
วัดปทุมวนารามวรวิหาร ที่ดังไปทั่วโลก และปรากฏต่อมาว่า
        ผู้บังคับกองพันทหารม้า ซึ่งเป็นผู้ขออนุญาตท่านเจ้าอาวาสขอใช้พื้นที่วัดเป็นลายลักษณ์อักษร และเป็นผู้หนึ่งที่รับผิดชอบในปฏิบัติการกระชากพื้นที่ จนถูกกล่าวหาว่า 
       
กองทหารที่เขารับผิดชอบ มีส่วนต้องสงสัยว่าเป็น “ฆาตกร ที่ฆ่าพี่น้องเพื่อนร่วมชาติ!
        ระหว่างที่มีการกล่าวหากันวุ่นวาย และความจริงยังไม่ได้รับการพิสูจน์ หนังสือพิมพ์ก็รายงานข่าวว่า
        นายทหารคนดังกล่าว ชิงฆ่าตัวตาย โดยการใช้อาวุธปืนยิงตัวเอง!

        จากนั้นไม่กี่วัน ก็มีการแก้ข่าวจากทางกองทัพว่า ไม่ได้เป็นการฆ่าตัวตาย 
        แต่เป็นอุบัติเหตุ..ปืนลั่น! 
        ผมเห็นว่า หากกองทัพจะพยายามกลบความจริง เรื่องการที่นายทหารผู้นี้ฆ่าตัวตาย โดยทำให้เป็นเรื่องอุบัติเหตุปืนลั่น ทั้งนี้เพื่อให้ครอบครัวของนายทหารผู้ตาย ได้รับสิทธิประโยชน์และบำเหน็จตกทอด จากทางกองทัพอย่างเต็มที่ เพราะหากเป็นเรื่องฆ่าตัวตายแล้ว การเงินที่ทายาทจะได้รับ และสิทธิประโยชน์สำหรับคอรบครัว ที่อยู่ข้างหลัง จะแตกต่างกันมาก
        แม้จะมีความเห็นใจผู้ตาย ซึ่งเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นหลังคนเขียนอยู่หลายรุ่นก็ตาม แต่ก็ไม่สนับสนุนที่จะให้กองทัพยกเอา “เรื่องไม่จริง” มาพูดจา หรือทำให้ผลการชันสูตรพลิกศพบิดเบือนไป ซึ่งไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น เพราะเรื่องอย่างนี้มันใหญ่มาก ผู้คนจับจ้องอยู่ และการพิสูจน์หา “ความจริง” ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย

        ผมจึงต้องขอเตือน แพทย์และ/หรือพนักงานสอบสวน ที่จะทำการแก้ไขผลการชันสูตรพลิกศพ จะต้องคิดถึงผลร้ายที่จะติดตามมาในวันข้างหน้า เพราะผู้รับผิดชอบ อาจต้องเผชิญหน้ากับการแก่ต่างในเรื่องของ “คดีอาญา” เลยทีเดียว
        หากให้ผมแก้ปัญหา จะดำเนินการชันสูตรพลิกศพไปตามความจริง และเสนอใช้เงินราชการลับสัก 10-20 ล้านบาท ให้ครอบครัวผู้ตายไปเลย เพราะการที่นายทหารคนนี้ต้องเสียชีวิต ก็ด้วยเขาจำต้องเข้าไปมีส่วนร่วม ในการปราบปรามประชาชน และเป็นเหตุแห่งตายของผู้คนจำนวนมาก 
       
ทั้งนี้ ก็เป็นเพราะรัฐบาล กำหนดเขาให้ทำนั่นเอง! 
        ดังนั้น จึงสมควรจะตอบแทน ครอบครัวผู้ตายอย่างเต็มที่ เพราะขณะนี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์การตายของเขานั้น เกิดขึ้นอย่างมากมาย ผู้คนร่ำลือกันไปต่างๆนานาๆ ตามประสาเมืองไทยเราเป็นแชมป์ข่าวลืออยู่แล้ว 
        ลือกันจนกระทั่ง เอามาพูดกันทางวิทยุกระจายเสียงเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง (ผมฟังอยู่พอดี) ในทำนองว่า

content/picdata/239/data/6peple.jpg

        ...อาจเป็นเพราะผู้ตาย เกิดอาการ ‘จิตหลอน’ เนื่องจากภาพของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่ถูกฆ่าตายลงอย่างเหี้ยมโหดในวัดปทุมฯ ซึ่งเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทหารของตน ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาและรัฐบาลโลซก มาปรากฏในห้วงแห่งความนึกคิดของผู้ตายอยู่ตลอดเวลา จนทำให้เกิดอาการเครียดจัด และนำไปสู่การตัดสินใจ...
        ...ปลิดชีวิตตนเองในที่สุด!

        ตอนนี้ ชาวบ้านเขา ‘เมาท์จนแซ่ด’ ไปต่างๆนานา ทั้งยังตั้งปุจฉา ซึ่งกันและกันด้วยว่า

        ไอ้พวกฆ่าโหดประชาชน มันจะต้อง ‘ยิงตัวตาย’ กันอีกกี่ศพ!!?

************

        (***คอลัมน์ ประจำสัปดาห์ตอน จะต้อง ‘ยิงตัวตาย’ กันอีกกี่ศพ!!?  ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 24 กรกฎาคม 2553)